หุ้น ในตลาดหุ้นนั้น จริงๆก็คือ ส่วนนึงของความเป็นเจ้าของในธุรกิจนั่นเอง ไม่ต่างจากการเป็นหุ้นส่วนในบริษัทที่เราไปลงทุนกับเพื่อนๆของเราเลยครับ เช่น บริษัท A มีหุ้นทั้งหมด 1,000,000 หุ้น ถ้าหากเราถือหุ้นในบริษัท A อยู่ 10,000 หุ้น เท่ากับเราเป็นหุ้นส่วนร่วมกับผู้ถือหุ้นอื่นๆในบริษัท A ในสัดส่วน 1%
ซึ่งก็หมายความว่า เรามีสิทธิต่างๆในบริษัท A เท่ากับ 1% ด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็น สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในการรับเงินปันผล หรือ สิทธิในการโหวตออกเสียงในมติต่างๆของบริษัท เป็นต้น
ซึ่งถ้าหากบริษัท A เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เราก็สามารถซื้อขายหุ้น ที่เรามีอยู่ 10,000 หุ้นให้กับคนอื่นๆในตลาดหลักทรัพย์ได้ครับ ซึ่งสัดส่วนหุ้นหรือสิทธิที่เรามีอยู่ในบริษัท A ก็จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามจำนวนหุ้นที่เราทำการซื้อขายนั่นเอง
ดังนั้นเบื้องหลังตัวย่อหุ้นที่เราเห็นกันในตลาดหุ้นเช่น CPALL, BBL, BGH ก็คือ บริษัทต่างๆที่มีการทำธุรกิจจริงๆ
มีการบริหารโดยคนจริงๆ มีรายได้ มีกำไร มีทรัพย์สินต่างๆจริงๆ ไม่ต่างจากธุรกิจที่เราพบเห็นทั่วไปในชีวิตประจำวันครับ เช่น
- CPALL คือ บริษัทซีพีออล ที่เป็นเจ้าของ 7-11 ทั่วประเทศไทย
- BBL คือ ธนาคารกรุงเทพ ที่เป็นธนาคารที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในประเทศไทย
- BDMS คือ โรงพยาบาลกรุงเทพ ที่เป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ซึ่งเราสามารถเข้าไปซื้อหุ้นและกลายเป็นหุ้นส่วนของบริษัทเหล่านี้ได้ ผ่านทางการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์นั่นเองครับ
ซึ่งเมื่อลองมาดูตัวเลขผลการดำเนินงานของบริษัทง่ายๆ ก็จะเห็นว่า ยอดขายและกำไรของ BBBY นั้นลดลงทุกปี จากเคยกำไรมากมายจนกระทั่งกลายเป็นขาดทุนหลายพันล้านในปี 2013 ซึ่งนั่นก็เลยทำให้ราคาหุ้นของ BBBY ลดลงจาก $139 เหลือเพียงแค่ $10 ในปัจจุบัน
ในช่วงเวลาเดียวกันจะเห็นว่า ยอดขายและกำไรของ AAPL นั้นมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากกำไรปีละ 6,119 ล้านเหรียญสหรัฐ กลายมาเป็นกำไร 37,037 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2013 และทำให้ราคาหุ้นของ AAPL เพิ่มขึ้นจากประมาณ $25 เป็น $94 ในปัจจุบันครับ
ดังนั้นก็จะเห็นได้ว่าบริษัทที่มีกำไรมากขึ้นเรื่อยๆนั้น ราคาหุ้นก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน และสำหรับบริษัทที่ขายสินค้าได้น้อยลง กำไรลดลงเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็จะลดลงเรื่อยๆปีแล้วปีเล่าเช่นเดียวกันครับ
ตัวอย่างเช่น การลงทุนในบริษัท Fastenal ที่มีธุรกิจขายวัสดุก่อสร้างในอเมริกา ซึ่งมีการขยายสาขาจากไม่กี่ร้อย กลายเป็นกว่า 2,600 สาขาในอเมริกา ตลอดช่วงระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็แน่นอนว่ายิ่งขยายสาขาได้มาก รายได้และกำไรของ Fastenal ก็มากขึ้นเรื่อยๆทุกปีเช่นเดียวกัน
ถ้าหากเราลงทุนในหุ้นของบริษัท Fastenal หรือ FAST ในปี 1987 ที่ $9,000 แล้วถือไว้เฉยๆ ในระหว่างที่บริษัทมีการขยายกิจการไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ผ่านไป 25 ปี เงิน $9,000 ที่เราลงทุนไปจะเพิ่มขึ้นกลายเป็น $4,478,400 หรือได้กำไร 49,660% นั่นเองครับ (คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 28.2% ต่อปี) ซึ่งก็เป็นผลกำไรที่มากมายมหาศาลทีเดียวครับ
หรือในกรณีของบริษัทที่ยอดเยี่ยมอย่าง Sherwin Williams ที่ทำธุรกิจขายสีทาวัสดุต่างๆ ที่มีกำไรเพิ่มขึ้นและนำกำไรที่ได้มาจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี ขอเพียงเราซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสมและถือไว้เฉยๆ เพียงแค่เงินปันผลที่ได้นั้น ไม่กี่ปีก็มากกว่าเงินต้นที่เราลงทุนไปแล้วครับ และที่ยอดเยี่ยมคือ หลังจากที่เราได้เงินต้นคืนครบแล้ว เราก็ยังจะได้รับเงินปันผลต่อไปเรื่อยๆตลอดชีวิตครับ รวมทั้งราคาหุ้นที่เคยซื้อไว้ก็จะต้องเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่าตัวแน่นอนครับ
ไม่ต่างจากเราเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ดีๆแล้วให้ปล่อยให้คนเช่า โดยที่สามารถขึ้นค่าเช่าได้ทุกปี ทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี พร้อมทั้งมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกปีด้วยครับ
ในโลกของการลงทุน การจะรู้ได้ว่าบริษัทไหนเป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยม จะต้องมีความรู้ทางด้านการเงิน และอ่านงบการเงินของบริษัทได้ ซึ่งงบการเงินทั่วไปของบริษัทก็จะประกอบไปด้วยงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ (งบกำไรขาดทุน) งบแสดงฐานะการเงิน (งบดุล) และงบกระแสเงินสด
ซึ่งคนส่วนมากแล้ว ไม่สามารถทำความเข้าใจธุรกิจผ่านทางงบการเงินทั้ง 3 ฉบับได้ ก็เลยทำให้ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า หุ้นที่มีมากมายในตลาดหุ้นนั้น หุ้นตัวไหนเป็นตัวแทนของบริษัทที่ยอดเยี่ยมกันแน่
ต่อให้เรารู้จักธุรกิจที่ยอดเยี่ยม แต่ถ้าเราประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของธุรกิจนั้นไม่ได้ เราก็อาจจะซื้อหุ้นในราคาที่แพงเกินไป และ มีโอกาสขาดทุนได้
การคำนวณมูลค่าที่เหมาะสมนั้น นอกเหนือจากการเข้าใจงบการเงินของบริษัทแล้ว ยังต้องมีความเข้าใจในธุรกิจหลากหลายประเภท รวมทั้งต้องมีทักษะในการประเมินมูลค่าบริษัทด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้นานมาก และมักเป็นสิ่งที่คนทั่วไปที่ไม่ค่อยได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเงินทำได้ยาก
ปัญหาสุดท้ายก็คือ เวลาที่ต้องใช้ในการคอยติดตามอ่านงบการเงินที่บริษัทจะออกมาใหม่ทุกๆ 3 เดือน เพราะธุรกิจนั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางบริษัทที่เคยยอดเยี่ยมในอดีตนั้น อาจจะแย่ลงเมื่อมีคู่แข่งใหม่ๆปรากฏตัว ยกตัวอย่างเช่น BlackBerry ที่เคยมียอดขาย Smart Phone เป็นอันดับ 1 ของโลก ปัจจุบันก็แทบจะขายไม่ออกแล้วดังนั้นนอกเหนือจากทักษะในการวิเคราะห์งบการเงินและการประเมินมูลค่าแล้ว นักลงทุนจำเป็นต้องใช้เวลาในการติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทที่ลงทุนไปค่อนข้างมาก ทำให้คนทั่วไปที่ไม่มีเวลา จึงไม่สามารถลงทุนตามแนวทางนี้ได้