หลักการลงทุน แบบเน้นคุณค่า

ก่อนที่จะเริ่มลงทุนในตลาดหุ้น
อย่างแรกที่สุดที่เราต้องทำความเข้าใจเลยก็คือ เรื่องที่ว่า
หุ้นคืออะไร? และ ราคาหุ้นนั้นแท้จริงแล้วจะขึ้นจะลงเพราะอะไร?
ถ้าเราเข้าใจแล้ว “การลงทุนก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วครับ”

หุ้นคืออะไร

หุ้น ในตลาดหุ้นนั้น จริงๆก็คือ ส่วนนึงของความเป็นเจ้าของในธุรกิจนั่นเอง ไม่ต่างจากการเป็นหุ้นส่วนในบริษัทที่เราไปลงทุนกับเพื่อนๆของเราเลยครับ เช่น บริษัท A มีหุ้นทั้งหมด 1,000,000 หุ้น ถ้าหากเราถือหุ้นในบริษัท A อยู่ 10,000 หุ้น เท่ากับเราเป็นหุ้นส่วนร่วมกับผู้ถือหุ้นอื่นๆในบริษัท A ในสัดส่วน 1%

ซึ่งก็หมายความว่า เรามีสิทธิต่างๆในบริษัท A เท่ากับ 1% ด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็น สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในการรับเงินปันผล หรือ สิทธิในการโหวตออกเสียงในมติต่างๆของบริษัท เป็นต้น

ซึ่งถ้าหากบริษัท A เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เราก็สามารถซื้อขายหุ้น ที่เรามีอยู่ 10,000 หุ้นให้กับคนอื่นๆในตลาดหลักทรัพย์ได้ครับ ซึ่งสัดส่วนหุ้นหรือสิทธิที่เรามีอยู่ในบริษัท A ก็จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามจำนวนหุ้นที่เราทำการซื้อขายนั่นเอง

ดังนั้นเบื้องหลังตัวย่อหุ้นที่เราเห็นกันในตลาดหุ้นเช่น CPALL, BBL, BGH ก็คือ บริษัทต่างๆที่มีการทำธุรกิจจริงๆ

มีการบริหารโดยคนจริงๆ มีรายได้ มีกำไร มีทรัพย์สินต่างๆจริงๆ ไม่ต่างจากธุรกิจที่เราพบเห็นทั่วไปในชีวิตประจำวันครับ เช่น

- CPALL คือ บริษัทซีพีออล ที่เป็นเจ้าของ 7-11 ทั่วประเทศไทย
- BBL คือ ธนาคารกรุงเทพ ที่เป็นธนาคารที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในประเทศไทย
- BDMS คือ โรงพยาบาลกรุงเทพ ที่เป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

ซึ่งเราสามารถเข้าไปซื้อหุ้นและกลายเป็นหุ้นส่วนของบริษัทเหล่านี้ได้ ผ่านทางการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์นั่นเองครับ

ราคาหุ้นขึ้นลงเพราะอะไร?

เมื่อเราทราบแล้วว่า หุ้น ที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้น คือ หุ้นส่วนของบริษัทต่างๆ
ดังนั้นเราก็สามารถเข้าใจได้ง่ายๆทันทีเลยว่า แท้จริงแล้ว
"ราคาหุ้นนั้นจะต้องขึ้นลงตามผลประกอบการหรือผลกำไรที่บริษัททำได้ในแต่ละปีนั่นเอง"
ไม่ต่างจากเวลาที่เราไปร่วมลงทุนในธุรกิจใหม่กับเพื่อนเลยครับ
ถ้าหากว่าบริษัททำกำไรได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
บริษัทก็สามารถจ่ายเงินปันผลได้มากขึ้น
และมูลค่าหุ้นของบริษัทก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะจะมีแต่คนมาขอซื้อหุ้นของบริษัทต่อจากเราครับ
ถ้าหากว่าบริษัทขาดทุนหลายๆปีติดต่อกัน
ก็ไม่มีใครอยากจะมาเป็นหุ้นส่วน
มูลค่าหุ้นที่เราถือก็จะลดลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดถ้าหากบริษัทเจ๊ง ต้องปิดกิจการไป
มูลค่าหุ้นที่เราถืออยู่ก็จะกลายเป็น 0 ทันที

ลองมาดูตัวอย่างง่ายๆกัน BBRY vs AAPL

ภาพด้านบนคือ ผลประกอบการเทียบกับราคาหุ้นของ BBBY หรือ บริษัทผู้จำหน่ายโทรศัพท์ Blackberry
ที่เคยฮิตๆกันในไทยเมื่อหลายปีก่อน กับ AAPL หรือ บริษัท Apple ผู้จำหน่ายโทรศัพท์ iPhone ครับ

ซึ่งเมื่อลองมาดูตัวเลขผลการดำเนินงานของบริษัทง่ายๆ ก็จะเห็นว่า ยอดขายและกำไรของ BBBY นั้นลดลงทุกปี จากเคยกำไรมากมายจนกระทั่งกลายเป็นขาดทุนหลายพันล้านในปี 2013 ซึ่งนั่นก็เลยทำให้ราคาหุ้นของ BBBY ลดลงจาก $139 เหลือเพียงแค่ $10 ในปัจจุบัน

ในช่วงเวลาเดียวกันจะเห็นว่า ยอดขายและกำไรของ AAPL นั้นมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากกำไรปีละ 6,119 ล้านเหรียญสหรัฐ กลายมาเป็นกำไร 37,037 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2013 และทำให้ราคาหุ้นของ AAPL เพิ่มขึ้นจากประมาณ $25 เป็น $94 ในปัจจุบันครับ

ดังนั้นก็จะเห็นได้ว่าบริษัทที่มีกำไรมากขึ้นเรื่อยๆนั้น ราคาหุ้นก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน และสำหรับบริษัทที่ขายสินค้าได้น้อยลง กำไรลดลงเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็จะลดลงเรื่อยๆปีแล้วปีเล่าเช่นเดียวกันครับ

เมื่อเรารู้แล้วว่า
หุ้น คือตัวแทนของบริษัทที่มีการดำเนินงานอยู่จริงๆ
และ ราคาหุ้นจะขึ้นจะลงก็อยู่ที่ผลกำไรที่บริษัททำได้ในแต่ละปี
"แล้วหลักการลงทุนที่จะทำให้เราได้กำไรจากตลาดหุ้นคืออะไรล่ะ?"
Warren Buffett นักลงทุนอันดับหนึ่งของโลก
ก็ได้สรุปหลักการลงทุนที่ง่ายที่สุดออกมาแล้วว่า

“Buy a wonderful company at a fair price”

“ลงทุนในธุรกิจที่ยอดเยี่ยมในราคาที่เหมาะสม”

กล่าวง่ายๆก็คือ ให้เราซื้อหุ้นของบริษัทที่ดี ที่สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆปีแล้วปีเล่านั่นเอง เพราะจากที่เราได้เห็นกันไปแล้วว่า ถ้ากำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าหากเราซื้อหุ้นของบริษัทที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ ในราคาที่เหมาะสม (ไม่แพงเว่อร์จนเกินไป) ในระยะยาวแล้ว เราก็จะได้กำไรจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นเองครับ รวมทั้งในแต่ละปีก็มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลที่บริษัทจ่ายออกมาให้กับผู้ถือหุ้นด้วยครับ

ตัวอย่างเช่น การลงทุนในบริษัท Fastenal ที่มีธุรกิจขายวัสดุก่อสร้างในอเมริกา ซึ่งมีการขยายสาขาจากไม่กี่ร้อย กลายเป็นกว่า 2,600 สาขาในอเมริกา ตลอดช่วงระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็แน่นอนว่ายิ่งขยายสาขาได้มาก รายได้และกำไรของ Fastenal ก็มากขึ้นเรื่อยๆทุกปีเช่นเดียวกัน

ถ้าหากเราลงทุนในหุ้นของบริษัท Fastenal หรือ FAST ในปี 1987 ที่ $9,000 แล้วถือไว้เฉยๆ ในระหว่างที่บริษัทมีการขยายกิจการไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ผ่านไป 25 ปี เงิน $9,000 ที่เราลงทุนไปจะเพิ่มขึ้นกลายเป็น $4,478,400 หรือได้กำไร 49,660% นั่นเองครับ (คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 28.2% ต่อปี) ซึ่งก็เป็นผลกำไรที่มากมายมหาศาลทีเดียวครับ

หรือในกรณีของบริษัทที่ยอดเยี่ยมอย่าง Sherwin Williams ที่ทำธุรกิจขายสีทาวัสดุต่างๆ ที่มีกำไรเพิ่มขึ้นและนำกำไรที่ได้มาจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี ขอเพียงเราซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสมและถือไว้เฉยๆ เพียงแค่เงินปันผลที่ได้นั้น ไม่กี่ปีก็มากกว่าเงินต้นที่เราลงทุนไปแล้วครับ และที่ยอดเยี่ยมคือ หลังจากที่เราได้เงินต้นคืนครบแล้ว เราก็ยังจะได้รับเงินปันผลต่อไปเรื่อยๆตลอดชีวิตครับ รวมทั้งราคาหุ้นที่เคยซื้อไว้ก็จะต้องเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่าตัวแน่นอนครับ

ไม่ต่างจากเราเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ดีๆแล้วให้ปล่อยให้คนเช่า โดยที่สามารถขึ้นค่าเช่าได้ทุกปี ทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี พร้อมทั้งมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกปีด้วยครับ

จะเห็นได้ว่า การลงทุนตามหลักการ “ลงทุนในธุรกิจที่ยอดเยี่ยมในราคาที่เหมาะสม” ตามที่ Warren Buffett
กล่าวไว้นั้นก็ดูเหมือนจะง่ายนะครับ เพียงแค่ดูว่าบริษัทไหนดีก็ไปซื้อหุ้นเก็บไว้ เดี๋ยวก็จะทำกำไรได้เอง
แต่ในความเป็นจริง
คนจำนวนมากก็ไม่สามารถลงทุนในแบบที่ Warren บอกไว้ได้
เพราะพอมาลองลงทุนจริงๆแล้ว กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากทุกคน
"จะต้องพบเจอกับปัญหาหลัก 3 ข้อนี้ครับ"

ไม่รู้ว่าธุรกิจไหนเป็น
ธุรกิจที่ยอดเยี่ยม

ในโลกของการลงทุน การจะรู้ได้ว่าบริษัทไหนเป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยม จะต้องมีความรู้ทางด้านการเงิน และอ่านงบการเงินของบริษัทได้ ซึ่งงบการเงินทั่วไปของบริษัทก็จะประกอบไปด้วยงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ (งบกำไรขาดทุน) งบแสดงฐานะการเงิน (งบดุล) และงบกระแสเงินสด

ซึ่งคนส่วนมากแล้ว ไม่สามารถทำความเข้าใจธุรกิจผ่านทางงบการเงินทั้ง 3 ฉบับได้ ก็เลยทำให้ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า หุ้นที่มีมากมายในตลาดหุ้นนั้น หุ้นตัวไหนเป็นตัวแทนของบริษัทที่ยอดเยี่ยมกันแน่

ไม่รู้ว่าราคาที่เหมาะสม
เป็นเท่าไหร่

ต่อให้เรารู้จักธุรกิจที่ยอดเยี่ยม แต่ถ้าเราประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของธุรกิจนั้นไม่ได้ เราก็อาจจะซื้อหุ้นในราคาที่แพงเกินไป และ มีโอกาสขาดทุนได้

การคำนวณมูลค่าที่เหมาะสมนั้น นอกเหนือจากการเข้าใจงบการเงินของบริษัทแล้ว ยังต้องมีความเข้าใจในธุรกิจหลากหลายประเภท รวมทั้งต้องมีทักษะในการประเมินมูลค่าบริษัทด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้นานมาก และมักเป็นสิ่งที่คนทั่วไปที่ไม่ค่อยได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเงินทำได้ยาก

ไม่รู้ว่าธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้น
หรือแย่ลงในแต่ละปีที่ผ่านไป

ปัญหาสุดท้ายก็คือ เวลาที่ต้องใช้ในการคอยติดตามอ่านงบการเงินที่บริษัทจะออกมาใหม่ทุกๆ 3 เดือน เพราะธุรกิจนั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางบริษัทที่เคยยอดเยี่ยมในอดีตนั้น อาจจะแย่ลงเมื่อมีคู่แข่งใหม่ๆปรากฏตัว ยกตัวอย่างเช่น BlackBerry ที่เคยมียอดขาย Smart Phone เป็นอันดับ 1 ของโลก ปัจจุบันก็แทบจะขายไม่ออกแล้วดังนั้นนอกเหนือจากทักษะในการวิเคราะห์งบการเงินและการประเมินมูลค่าแล้ว นักลงทุนจำเป็นต้องใช้เวลาในการติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทที่ลงทุนไปค่อนข้างมาก ทำให้คนทั่วไปที่ไม่มีเวลา จึงไม่สามารถลงทุนตามแนวทางนี้ได้

Jitta เลยเข้ามาช่วยแก้ปัญหาทั้ง 3 ข้อ
เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนตามแนวทางของ Warren Buffett ได้ ง่ายขึ้น
และได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีขึ้น โดย Jitta จะทำการวิเคราะห์งบการเงินย้อนหลังของทุกบริษัทแล้วสรุปออกมาเป็น
PriceLoss Chance
$114.3022.0%
6.80

29.19%

Above Jitta Line

ดังนั้นด้วย Jitta Score และ Jitta Line ก็จะทำให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนตามแนวทาง “ลงทุนในธุรกิจที่ยอดเยี่ยมในราคาที่เหมาะสม” ได้ทันที

เพียงแค่ "เลือกซื้อหุ้นของบริษัทที่มี Jitta Score สูง ที่ราคาหุ้นอยู่ต่ำกว่า Jitta Line นั่นเองครับ"
ทั้งนี้ Jitta Score และ Jitta Line ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ 3 เดือนเวลาที่บริษัทประกาศงบการเงินออกมาใหม่
ซึ่งเราก็สามารถที่จะกดปุ่ม Follow เพื่อคอยติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทไปได้เรื่อยๆครับ ถ้าหากว่าผลประกอบการออกมาดี Jitta Score และ
Jitta Line ดีขึ้น เราก็สามารถถือหุ้นของบริษัทนั้นไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้าหากเมื่อไหร่ที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่แย่ลง Jitta Score และ Jitta Line เริ่มลดลง
ก็เป็นสัญญาณที่บอกให้เราทราบได้ว่า ถึงเวลาที่จะขายหุ้นแล้วครับ