by Phillip
วันที่ 9 ก.ย. 2568 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 10 ก.ย. 2568
เกาะติดวัฏจักรเศรษฐกิจ 4 ระยะ รู้เท่าทัน ทำกำไรได้ทุกโอกาส

สภาพเศรษฐกิจ คือตัวแปรสำคัญที่จะส่งผลต่ออัตราการเติบโตและกำไรในพอร์ตการลงทุนทุกประเภท ดังนั้น หากอยากลงทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มีโอกาสทำกำไรจากสินทรัพย์ได้ในทุกสภาพตลาด การทำความเข้าใจในวัฏจักรเศรษฐกิจ 4 ระยะอย่างรอบด้านคือสิ่งที่นักลงทุนทุกคนควรรู้

ทำความเข้าใจกับวัฏจักรเศรษฐกิจ 4 ระยะ

วัฏจักรเศรษฐกิจ 4 ระยะ หรือ Economy Cycle คือ การเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่แสดงถึงการเติบโตและชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งมีความสำคัญต่อการวางแผนการลงทุนของนักลงทุนในทุกระดับ รวมถึงผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมด้วย

ข้อควรรู้เกี่ยวกับวัฏจักรเศรษฐกิจ 4 ระยะ

วัฏจักรเศรษฐกิจ 4 ระยะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ?

  • ระยะถดถอย (Recession) : การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP มักหดตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเผชิญกับภาวะรายได้ลดลง จำเป็นต้องลดต้นทุน นำไปสู่การปลดพนักงาน อัตราการว่างงานจึงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ธุรกิจทุกขนาดชะลอการลงทุนและลดการใช้กำลังการผลิตลง เพราะความต้องการของผู้บริโภคลดลง อีกทั้งผู้บริโภคยังใช้จ่ายน้อยลงเพราะขาดความมั่นใจต่อเศรษฐกิจในอนาคต
     
  • ระยะตกต่ำ (Trough) : หลังจากช่วงถดถอย เศรษฐกิจจะเริ่มเข้าสู่จุดต่ำสุด เป็นช่วงที่ราคาสินทรัพย์หลายประเภทลดลงถึงจุดต่ำสุด นักลงทุนเริ่มกลับมาสังเกตตลาดเพื่อหาจังหวะเข้าซื้อ การผลิตเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว เนื่องจากภาครัฐมักออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ลดอัตราดอกเบี้ย เพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล หรือออกมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ อัตราว่างงานจึงเริ่มทรงตัว ตลาดหุ้นเริ่มส่งสัญญาณบวก ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจมีสัญญาณที่ดี เช่น ดัชนีตลาดหุ้น ยอดขายของธุรกิจขายปลีก
     
  • ระยะฟื้นตัว (Recovery) : สัญญาณชี้ชัดของระยะนี้ ได้แก่ GDP เริ่มขยายตัวอีกครั้ง อัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น และธุรกิจกลับมาขยายการลงทุน ส่งผลให้การจ้างงานเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ภาคครัวเรือนมีความเชื่อมั่นในอนาคตมากขึ้น และเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ปริมาณเงินกู้สูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเล็กน้อย
     
  • ระยะเฟื่องฟู (Peak) : เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวถึงระดับสูงสุด ใกล้ภาวะอิ่มตัว จะมีสัญญาณของการเติบโตที่เริ่มชะลอตัวลง ตัวเลข GDP อาจยังเป็นบวกแต่เริ่มลดอัตราการเติบโต รวมถึงอัตราการว่างงานจะอยู่ในระดับต่ำ และกำลังซื้อของประชาชนสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้น ธนาคารจึงต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อจำกัดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ

ตัวชี้วัดระยะของวัฏจักรเศรษฐกิจ

  • GDP (Gross Domestic Product) : มูลค่ารวมของสินค้าหรือบริการทั้งหมดที่ผลิตภายในประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ใช้สะท้อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ หาก GDP ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แสดงว่าเศรษฐกิจอยู่ในระยะฟื้นตัวหรือเฟื่องฟู
     
  • เงินเฟ้อ : การเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งบ่งชี้ถึงกำลังซื้อของผู้บริโภค  หากมาจากฝั่งอุปสงค์หรือ Demand Pull ส่วนกรอบอัตราเงินเฟ้อที่เหมาะสมของประเทศไทยจะอยู่ที่ 1-3% ต่อปี 
     
  • อัตราดอกเบี้ย : หนึ่งในเครื่องมือทางด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลาง หากเศรษฐกิจอยู่ในช่วงเฟื่องฟู ธนาคารกลางมักจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและควบคุมเงินเฟ้อ ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจชะลอตัว ธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน
     
  • ผลประกอบการภาคธุรกิจ : ผลกำไรของบริษัทต่าง ๆ เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงสุขภาพทางเศรษฐกิจ หากบริษัทส่วนใหญ่มีผลกำไรเพิ่มขึ้น จะเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโต แต่หากรายได้ลดลงในหลายอุตสาหกรรม อาจสะท้อนถึงการเข้าสู่ภาวะถดถอย
     
  • อัตราการจ้างงาน : อัตราการจ้างงาน สามารถสะท้อนศักยภาพเศรษฐกิจในการสร้างงานได้เป็นอย่างดี ยิ่งมีอัตราการจ้างงานสูงเท่าไร ก็เป็นตัวชี้วัดได้ว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้นมากเท่านั้น
นักลงทุนกำลังวางแผนว่าเศรษฐกิจถดถอยจะลงทุนอะไรดี

เศรษฐกิจถดถอย ลงทุนอะไรเพื่อสร้างกำไรได้ทุกสถานการณ์

เมื่อปรับตัวและปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้แล้ว ลำดับถัดไป ก็มาถึงการเลือกทรัพย์สินสำหรับลงทุนในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งทรัพย์สินที่มีความปลอดภัยสูงและความเสี่ยงต่ำ ได้แก่

1. หุ้นปลอดภัย (Defensive Stock)

หุ้นปลอดภัย (Defensive Stock) คือ หุ้นของบริษัทที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งยังคงมีความต้องการต่อเนื่องแม้ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย หุ้นประเภทนี้มักมีกระแสรายได้มั่นคง ความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ จึงเอาชนะความผันผวนในช่วงเศรษฐกิจถดถอยได้ดี เช่น อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค สาธารณูปโภค และพลังงาน

2. พันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้คุณภาพสูง

พันธบัตรรัฐบาลเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำที่ให้ผลตอบแทนคงที่ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงในช่วงตลาดผันผวน เนื่องจากรัฐบาลเป็นผู้ออกตราสารและรับประกันการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย เช่น พันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ (U.S. Treasury Bonds) รวมถึงตราสารหนี้คุณภาพสูงที่ออกโดยบริษัทที่มีเครดิตดี

3. กองทุนรวมตราสารหนี้

กองทุนรวมตราสารหนี้เป็นกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ของบริษัทต่าง ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน อีกทั้งยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว

4. ทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์

ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ได้รับความนิยมในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ทั้งยังลงทุนได้หลายรูปแบบ ทั้งทองคำแท่ง ทองคำรูปพรรณ และกองทุนทองคำ ในขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ เช่น น้ำมันดิบ โลหะมีค่า ก็ช่วยเพิ่มความหลากหลายในพอร์ตลงทุนได้เช่นกัน

5. หุ้นกลุ่มสุขภาพ

หุ้นกลุ่มสุขภาพถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกน่าลงทุนในช่วงเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากความต้องการด้านบริการสุขภาพยังคงมีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาล ยา และบริการทางการแพทย์ จึงมีโอกาสให้ผลตอบแทนดีอย่างต่อเนื่อง เช่น Johnson & Johnson ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์และสินค้าอุปโภค
 

ไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นและตลาดการลงทุน เพื่อเอาตัวรอดในวัฏจักรเศรษฐกิจ 4 ระยะ อัปเดตและวิเคราะห์หุ้นน่าสนใจรายวัน คัดสรรข่าวสารน่าสนใจสำหรับนักลงทุนกับบริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PhillpCapital เราพร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดนักลงทุนทุกท่าน ด้วยการนำข่าวสารน่าสนใจในโลกการลงทุนมาให้ติดตามกันอย่างใกล้ชิด พร้อมช่วยวิเคราะห์ตลาดหุ้นเพื่อคัดหุ้นที่น่าสนใจมาแนะนำแบบรายวัน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-153-9221 หรือ LINE Official: @phillipdc

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

ข้อมูลอ้างอิง