ช่วงนี้น่าจะเรียกได้ว่า เป็นช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนะครับ
หุ้นไทยที่เคยขึ้นไปได้สูงถึง 1,840 จุดเมื่อเดือนมกราคม โหม่งโลกลงไปทำจุดต่ำสุด 1,590 ช่วงปลายมิถุนายน ก่อนจะเชิดหัวขึ้นไปที่ 1,750 จุด และปักหัวกลับลงมาที่ประมาณ 1,600
เป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนบางส่วนคิดว่าตลาดหุ้นอาจจะลดลงไปอีก ก็จะทยอยขายหุ้นออกมา
ในขณะที่นักลงทุนอีกส่วนนึงจะคิดตรงข้ามว่า ตลาดหุ้นลงมาพอสมควรแล้วน่าจะกลับขึ้นไปได้ใหม่ จึงทยอยลงทุนซื้อหุ้นเพิ่ม ทำให้ดัชนีตลาดโดยรวมค่อนข้างทรงตัว
แต่ถ้าเราลองมองลึกลงไปที่หุ้นรายตัว เราจะเห็นได้ว่า หุ้นที่ดีและราคาไม่แพงเกินไปนั้น ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกรกฏาคมเป็นต้นมา ราคาเริ่มอยู่นิ่ง ไม่ค่อยลดลงมากแล้ว หรือ อาจจะขยับขึ้นบ้างแล้วก็มี
ในขณะที่หุ้นที่ราคายังอยู่คงลดลงเรื่อยๆ มักจะเป็นหุ้นที่กิจการไม่ค่อยดี หรือหุ้นที่เคยถูกมองว่าเป็นหุ้นเติบโตสูงที่มีราคาแพงมากเกินไป ทำให้นักลงทุนต้องปรับพอร์ตขายหุ้นเหล่านี้ออกมา เพราะไม่แน่ใจว่าความคาดหวังของตลาดจะเป็นยังไงต่อไปในอีก 6 เดือน หรือ 1 ปีข้างหน้า ทำให้ราคาหุ้นเหล่านี้ลดลงสู่ราคาที่เหมาะสมของกิจการตามที่ควรจะเป็นครับ
แล้วเราควรจะทำอย่างไรต่อดี?
ในช่วงนี้นักลงทุนหลายคนก็สอบถามทาง Jitta เข้ามามากพอสมควรครับว่า เป็นช่วงเวลาที่ควรเริ่มลงทุนแล้วหรือยัง
เพราะทุกคนก็เข้าใจตรงกันว่า หลักการลงทุนที่ถูกต้องนั้น “เราต้องลงทุนในยามที่ตลาดหุ้นตก” เราจะได้ซื้อหุ้นดีๆในราคาที่ถูกๆ และเมื่อตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง เราก็จะได้ผลกำไรที่ดีเป็นสิ่งตอบแทนการรอคอยของเรา เพียงแต่บางคนยังลังเลและกลัวว่า ตลาดหุ้นจะตกไปมากกว่านี้อีกหรือเปล่า
———–
ผมก็ขอมาสรุปแนวคิดให้เข้าใจมากขึ้น เพื่อนำไปตัดสินใจกันได้ดังนี้นะครับ
1. ตลาดหุ้นตอนนี้ เริ่มลงทุนได้แล้วหรือยัง
ถ้าตอบตามหลักการลงทุนเลยนั้น เวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มลงทุนก็คือ “เมื่อวานนี้” ครับ
เพราะสิ่งหนึ่งที่เป็นความมหัศจรรย์ของการลงทุนก็คือ ดอกเบี้ยทบต้น ยิ่งเราเริ่มลงทุนได้เร็วเท่าไหร่ เราก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้สูงมากขึ้นเท่านั้นครับ
แม้ว่าจังหวะที่เราเริ่มลงทุนอาจจะไม่ใช่จังหวะที่ดีที่สุด แต่ถ้าเราลงทุนไปนานๆ ผลตอบแทนก็จะสูงกว่าการลงทุนแบบอื่นอยู่ดีครับ และแน่นอนทรัพย์สินในอนาคตเราจะมากกว่าคนที่ไม่ยอมเริ่มต้นลงทุนสักทีครับ เพราะตอนตลาดหุ้นขึ้นก็ไม่กล้า ตลาดหุ้นตกก็กลัว สุดท้ายเงินเลยไม่เคยได้ทำงานเลยสักที
————
2. ตลาดหุ้นจะตกต่อได้อีกเยอะไหม
ถ้าเราลองมาคิดในเชิงผลตอบแทนเปรียบเทียบ ก็พบว่าตลาดหุ้นไทยตอนนี้มีค่า PE อยู่ที่ราวๆ 15 เท่า
แสดงว่าผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นโดยเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ราวๆ 6%-7% ต่อปี ซึ่งก็ยังมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อยู่มากพอสมควร
ดังนั้นถ้ามองในมุมที่ว่า “เงินจำนวนมากต้องวิ่งเข้าสู่ทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดเสมอ” ทำให้เราพอจะประเมินสถานการณ์ได้ว่า ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยต่ำอยู่นั้น เงินก็ไม่น่าจะสามารถไหลออกจากตลาดหุ้นได้อีกมากเท่าไหร่ เพราะไม่มีที่อื่นให้ไปลงทุน (ยกเว้นต่างชาติที่ขายเอาเงินกลับไป ซึ่งก็ขายออกไปมากแล้ว)
ต่อให้จะมีเหตุการณ์อะไรในอนาคตที่ทำให้นักลงทุนตกใจและขายหุ้นออกไปอีกบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว ผ่านไปสักพัก เงินก็ต้องวิ่งกลับเข้ามาในตลาดหุ้นอยู่ดี
ซึ่งถ้าหากเราตั้งใจลงทุนระยะยาว 1-3 ปีขึ้นไปอยู่แล้ว เหตุการณ์เหล่านี้ก็จะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร อาจจะมองว่าเป็นโอกาสในการลงทุนเพิ่มเสียด้วยซ้ำ
————
3. การลงทุนสไตล์ Jitta เหมาะสมกับสภาวะตลาดแบบนี้มากน้อยแค่ไหน
การลงทุนสไตล์ Jitta นั้น จะเน้นแนวทางการคัดเลือกหุ้นและลงทุนแบบ VI (Value Investing) คือ “ลงทุนในหุ้นที่ดี ในราคาที่เหมาะสม” พร้อมทั้งกระจายความเสี่ยงและปรับพอร์ตให้ถูกต้องตามหลักการลงทุน
ดังนั้นตามหลักการแล้ว เราสามารถลงทุนแบบ Jitta ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นปีที่ตลาดหุ้นแย่หรือตลาดหุ้นดีครับ เพราะเราลงทุนโดยมองตัวธุรกิจเป็นหลัก ถ้าหากธุรกิจทำกำไรมากขึ้น เดี๋ยวราคาหุ้นก็จะขึ้นมาได้เอง ไม่ว่าตลาดจะผันผวนแค่ไหน เพราะคนก็ยังต้องกินต้องใช้ ต้องมีการอุปโภค บริโภคสินค้าและบริการต่างๆของบริษัทที่เราลงทุนไปอยู่ดี
และอย่างที่ผมบอกไปตอนต้นครับว่า ถ้าสังเกตดูดีๆ ตอนนี้ หุ้นดีๆ ราคาไม่แพงหลายๆตัว ราคาเริ่มกลับตัวขึ้นมาแล้ว ดังนั้นถ้าหากเราโฟกัสที่การเลือกหุ้นลงทุนเหล่านี้ได้ จากนี้ไปแม้ว่าตลาดอาจจะปรับตัวลดลงอีกบ้าง แต่พอร์ตลงทุนของเราก็อาจจะไม่ได้ลดลงตามตลาด แต่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นได้ครับ
ที่สำคัญหลักการลงทุนที่พิสูจน์มาแล้วว่าจะทำให้เราได้ผลตอบแทนสูงสุด หลังตลาดหุ้นตกก็คือ หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ VI ที่ Jitta เลือกใช้ลงทุนนั่นเองครับ ดังนั้นถ้าเรามองว่าตลาดหุ้นตกลงมาพอสมควรแล้ว ช่วงเวลานี้ก็เป็นช่วงเวลานึงที่เราควรจะเริ่มลงทุน แล้วเมื่อผ่านไปสัก 1-2 ปี เราจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากครับ
————
4. ถ้าลงทุนตาม Jitta ไปแล้ว ตลาดหุ้นตกลงอีก ควรจะต้องทำอย่างไร
แน่นอนว่า ไม่มีใครรู้ได้ชัดเจนว่า ตลาดหุ้นจะลงไปต่ำสุดที่แค่ไหน เมื่อเราลงทุนไปแล้ว ตลาดหุ้นอาจจะตกลงอีกก็ได้ ซึ่งถ้าตลาดหุ้นตกลงไม่มาก พอร์ตการลงทุนของเราคงไม่กระทบอะไรมาก
แต่ถ้าหากว่ามีสถานการณ์อะไรไม่ดีมากๆเกิดขึ้นและตลาดหุ้นลดลงไปอีก 10%-20% ราคาหุ้นทุกตัวก็คงจะต้องร่วงลงมา ไม่เว้นแม้แต่หุ้นที่ Jitta เลือกให้ เพราะในเวลาที่คนในตลาดหุ้นตกใจกลัวนั้น ก็มักจะขายหุ้นทั้งหมดออกมาโดยไร้เหตุผลได้ครับ
ซึ่งถ้าหากเวลานั้นเกิดขึ้นจริง สิ่งที่เราควรจะทำก็มีเพียงแค่ 2 อย่างครับ คือ “อยู่เฉยๆ” หรือ “ลงทุนเพิ่ม” เพราะตามที่บอกไว้ครับว่า ไม่มีใครบอกได้จริงๆว่า วิกฤตจะเกิดขึ้นตอนไหน และเกิดขึ้นยาวนานแค่ไหน บางทีตลาดอาจจะตกใจช่วงสั้นๆก็ได้
ถ้าธุรกิจที่เราทำอยู่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไรครับ เดี๋ยวเวลาผ่านไปพอร์ตการลงทุนเราก็จะเติบโตขึ้นเอง
ถ้าเราลองย้อนกลับไปดูปี 2015 ปีนั้นตลาดหุ้นไทยตกลงมา -18% ก็ถือว่าตกลงมามากระดับนึง หลักการลงทุนของ Jitta ก็ได้ผลตอบแทนที่ 1.5% และถ้าเราอยู่เฉยๆและรอได้อีก 1 ปี ในปี 2016 เราจะได้ผลตอบแทนที่ 28.26% เท่ากับว่าแม้เราจะลงทุนในปีที่ตลาดหุ้นไทยแย่ เมื่อถือผ่านไป 2 ปี (2015-2016) เราก็ยังได้ผลตอบแทนทบต้นราวๆ 14% ต่อปีอยู่ดีครับ
หรือถ้าย้อนกลับไปช่วงปี 2008 ปีนั้นตลาดหุ้นไทยตกลงมาราวๆ -40% หลักการของทุนของ Jitta ก็จะได้ผลตอบแทนติดลบด้วยที่ราวๆ -34% แต่ถ้าเราลงทุนผ่านวิกฤตมา ในปี 2009 เราจะได้ผลตอบแทน 103.69%
เท่ากับว่า ต่อให้เราลงทุนในปีที่เกิดวิกฤตใหญ่ ตลาดหุ้นแย่มาก เมื่อถือผ่านไป 2 ปี (2008-2009) หลักการลงทุนของ Jitta ก็ยังให้ผลตอบแทนทบต้นที่ราวๆ 15% ต่อปีอยู่ดีครับ
เห็นไหมครับว่า ตลาดหุ้นขึ้นลงนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือ หลักการลงทุนที่ดีนั้น จะสร้างผลตอบแทนได้ดีเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไร
เพียงแค่อยู่เฉยๆรอให้สถานการณ์ที่ไม่ดีต่างๆผ่านไปแค่นั้นครับ
และแน่นอน จะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นตกลงมา ยิ่งตกมามากเท่าไหร่ ในปีถัดๆไป ผลตอบแทนการลงทุนเราก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้นครับ
ดังนั้นถ้าเราลงทุนไปแล้วตลาดหุ้นตกลงมาจริงๆ เราควรจะมองเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน ถ้ามีเงินเย็นๆที่นำมาลงทุนเพิ่มได้ ก็ควรจะค่อยๆเพิ่มเงินลงทุนเข้ามา เมื่อเวลาผ่านไปตลาดกลับมาดีอีกครั้ง ผลตอบแทนเราจะสูงขึ้นจนน่าตกใจครับ
————
5. Jitta มีหลักในการเพิ่มทุนมั๊ยว่า ควรจะเพิ่มเข้ามาเมื่อไหร่ ตอนไหน
หลักการที่ผมแนะนำก็มีเพียง 3 หลักการครับ คือ
5.1 เพิ่มทุนเมื่อตลาดหุ้นตก
แน่นอนครับ เพราะจากที่เราอ่านในข้อ 4 ยิ่งเราเห็นตลาดหุ้นตกลงมามากเท่าไหร่ เรายิ่งน่าเพิ่มทุนมากเท่านั้น ช่วงเวลาที่หุ้นตกลงมามากๆแบบไร้เหตุผลนั้น ถ้าเราเข้าไปลงทุนช่วงนั้น ก็จะทำให้เราได้ “หุ้นดี ราคาถูก” เข้ามาอยู่ในพอร์ตมากขึ้น เมื่อตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง หุ้นเหล่านี้ก็จะให้ผลตอบแทนที่ดีมาก และทำให้ผลตอบแทนโดยรวมดีขึ้นได้มากกว่าปรกติ
5.2 เพิ่มทุนตามช่วงเวลาอย่างสม่ำเสมอ
ข้อนี้เป็นวิธีที่ง่าย เพราะเราไม่ต้องวุ่นวายกับการคอยดูสภาวะตลาดหุ้นหรือข่าวสารใดๆครับ เนื่องจากเรามั่นใจอยู่แล้วว่าในระยะยาวตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือ วางแผนการเพิ่มทุนและทำตามนั้นไปเรื่อยๆครับ เช่น เพิ่มทุนทุกเดือน หรือ ทุก 3 เดือน ด้วยเงินเท่าๆกัน เป็นต้น
แบบนี้ระยะยาวก็ให้ผลตอบแทนที่ดีไม่แพ้กันครับ เพราะเงินลงทุนเราจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทั้งช่วงตลาดดีและตลาดแย่ครับ
5.3 เพิ่มทุนเมื่อมีเงินเย็นๆ ที่ลงทุนได้นานๆ
ข้อนี้ก็คือ free style เลยครับ เราอาจจะเพิ่มทุนเมื่อได้รับเงินโบนัส หรือได้เงินจากการขายทรัพย์สินอื่นๆมา ก็เอามาลงทุนเพิ่มได้ตลอด เพราะถ้าเราเข้าใจว่า การลงทุนสไตล์ Jitta นั้น น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีระยะยาวอยู่แล้ว
————
คิดว่าด้วยการตอบคำถามเหล่านี้ น่าจะทำให้เข้าใจแนวคิดและหลักการลงทุนของ Jitta มากขึ้นแล้วนะครับ
และน่าจะทำให้มั่นใจได้มากขึ้นว่า ด้วยหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ไม่ว่าตลาดหุ้นจะผันผวนแค่ไหน ขอแค่เราเริ่มลงทุน แล้ว ถือครองการลงทุนให้นานที่สุด ผ่านวัฏจักรขึ้นลงของตลาดหุ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายเงินลงทุนของเราก็จะค่อยๆเติบโตไปเรื่อยๆเองครับ
และโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นลดลงมาระดับนึงแล้วแบบนี้ ถ้าหากเราเอาชนะใจตนเองและเริ่มต้นลงทุนได้ เมื่อผ่านไปหลายๆปีแล้วมองย้อนกลับมา เราอาจจะรู้สึกว่า นี่คือ การตัดสินใจเริ่มลงทุน ที่ดีมากเลยทีเดียวครับ
เหมือนดังที่ Warren Buffett บอกไว้ครับว่า การทำกำไรจากตลาดหุ้นนั้น “จงโลภในยามที่คนอื่นกลัว และกลัวในยามที่คนอื่นโลภ” ครับ
ขอให้ลงทุนอย่างมีความสุขครับ
— ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์