Shopify เป็นบริษัทที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศแคนาดาก่อตั้งในปี 2004 โดยนาย Tobias Lutke, Daniel Weinand และ Scott Lake
ทั้งสามคนอยากใช้เว็บไซต์เพื่อขายอุปกรณ์ Snowboard แต่หาแบบที่ถูกใจไม่ได้ เลยตัดสินใจพัฒนาเว็บไซต์อีคอมเมิร์ชขึ้นมาด้วยตัวเองโดยใช้เวลาเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น
สองปีหลังจากนั้นก็ตั้งบริษัท Shopify เพื่อให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ชแบบครบวงจร
แทนที่จะจ้างคนมาออกแบบเว็บไซต์ ทำการตลาด ทำโกดังเก็บของ ตั้งทีมงานส่งของ และวางระบบในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า
องค์กรทั่วโลกสามารถเช่าใช้ (subscription services) บริการของ Shopify ได้เริ่มต้นเพียงเดือนละ $29 ก็สามารถมีเว็บไซต์ไว้ขายของได้ทันที
บริการอีกส่วนเรียกว่า Merchant Solutions เป็นบริการเสริม เช่น แอปพลิเคชันต่างๆ ที่มาต่อยอดบริการ โซลูชันการจ่ายเงิน การให้กู้ยืมเงินกับลูกค้า และการขายฮาร์ดแวร์แบบ Point of Sales
ปัจจุบัน บริษัทมีลูกค้ากว่า 1,422,815 ราย (50% ในอเมริกา อีก 20% ในแคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย ที่เหลือกระจายทั่วโลก) เพิ่มขึ้นจากตอนสิ้นปี 2016 ที่ยังมีเพียง 377,000 ราย หรือเติบโตถึงปีละ 52.9% แบบทบต้น จึงทำให้ราคาหุ้นในช่วงตั้งแต่ปี 2017 ถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้นมากกว่า 1,433%
จุดที่ทำให้ Shopify แตกต่างจากคู่แข่ง คือการให้บริการแบบครบวงจร Omni Channel ที่สามารถเชื่อมต่อระบบทั้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันได้ บริษัทมีระบบ Point of Sales ที่เก็บเงินในร้านค้า และสามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบออนไลน์ของบริษัทได้อีกด้วย
นอกจากนี้บริษัทยังมี Network Effect ที่แข็งแกร่งจากการให้พาร์ทเนอร์เข้ามาพัฒนาโซลูชันเสริมอื่นๆ เพื่อต่อยอดจากแพลตฟอร์ม Shopify เอง ซึ่งตอนนี้มีอยู่ร่วม 24,500 ราย เช่น บริษัทขายของออนไลน์ต้องการใช้ AI เข้ามาคาดการณ์จำนวนสินค้าในคลัง หรือทำการตลาด ก็ซื้อบริการจากพาร์ทเนอร์เหล่านี้ได้
ยิ่งฐานลูกค้าของ Shopify มากขึ้น ยิ่งทำให้มีพาร์ทเนอร์มาสร้างบริการเสริมเหล่านี้มากขึ้น และยิ่งพาร์ทเนอร์มากขึ้น Shopify ก็ยิ่งให้บริการลูกค้าได้ครบวงจรมากขึ้น เป็นจุดแข็งที่ทำให้คู่แข่งเค้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดได้ยากมากขึ้น
ในส่วนของ #ข้อมูลการเงิน ผมเข้าไปดูใน Jitta เพื่อทำการวิเคราะห์ดังนี้
- ในปี 2017 มีรายได้ $673 ล้าน ขาดทุน $39.9 ล้าน
- ในปี 2018 มีรายได้ $1,073 ล้าน ขาดทุน $64.55 ล้าน
- ในปี 2019 มีรายได้ $1,578 ล้าน ขาดทุน $124 ล้าน
- รายได้ไตรมาสที่สองของปี 2020 ทำได้ $714.3 ล้าน เติบโต 97% ในส่วนของกำไรทำได้ $35.9 ล้าน พลิกจากขาดทุน $28.68 ล้านในไตรมาสที่สองปีที่แล้ว
- รายได้ในส่วนของการเช่าใช้บริการของบริษัทเติบโตขึ้น 28% YoY จากการเปิดร้านค้าออนไลน์มากขึ้น
- รายได้บริการเสริมเติบโตอย่างโดดเด่นถึง 148% YoY ขับเคลื่อนจากยอดขายสินค้าบนร้านค้า (Gross Merchandise Value) ทั้งหมดที่อยู่บนแพลตฟอร์มของ Shopify ที่เติบโตถึง 119% YoY ยิ่งคนเข้ามาซื้อสินค้ามากขึ้น ก็มีโอกาสที่ร้านค้าจะใช้บริการเสริมเพิ่มมากขึ้น
บริษัทเน้นการเติบโตในระยะยาวด้วยกลยุทธ์การร่วมมือกับบริษัทคู่ค้ามากขึ้น ล่าสุดได้จับมือกับ Facebook ที่กำลังเปิดบริการ Shop ด้วยการเชื่อมต่อบริการบริหารจัดการคลังสินค้าและการส่งของของบริษัทเข้ากับ Facebook Shop
นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์การเพิ่มบริการต่างๆ เช่น Shop Pay และ Shop Balance ที่ช่วยอำนวยความสะดวกแบบครบวงจรให้ลูกค้า
โอกาสการเติบโตของหุ้น Shopify ยังมีอีกมากด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว แถมยังมีการขยายบริการไปประเทศอื่นทั่วโลก พร้อมทั้งเทรนด์อีคอมเมิร์ชหลังวิกฤต Covid-19 มาช่วยพยุงปีก ข้อมูลจาก Statista ระบุว่าตลาดอีคอมเมิร์ชยังเติบโตได้อีกปีละ 15% จนถึงปี 2023
ในแง่ของความถูกแพงของหุ้น จากข้อมูลของ Jitta พบว่าหุ้นมีค่า Enterprise Value (EV) ต่อยอดขายในปี 2020 อยู่ที่ 64.48 เท่า
ในขณะที่หุ้น SaaS ตัวอื่นอย่าง Wix อยู่ที่ 17.3 เท่า ETSY อยู่ที่ 13.92 เท่า
เนื่องจากหุ้น Shopify ได้รับผลบวกจากวิกฤตครั้งนี้เลยผลักดันยอดขายให้เติบโตสูง ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นมากในปีนี้ กลยุทธ์การลงทุนหุ้นตัวนี้อาจจะต้องรอเข้าลงทุนในช่วงที่ปรับฐานลงมาดีกว่า