by Phillip
วันที่ 9 ก.ย. 2568 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 10 ก.ย. 2568
เงินเย็นคืออะไร ลงทุนอะไรดี ? พร้อมข้อควรพิจารณาก่อนลงทุน

จัดการเงินเย็นให้งอกเงย : ลงทุนอะไรดีเพื่อความมั่งคั่ง

ในโลกการลงทุนที่มีทางเลือกมากมาย หลายคนมักสงสัยว่าควรนำเงินไปลงทุนในรูปแบบไหนดีถึงจะเหมาะสมและให้ผลตอบแทนที่ดี โดยเฉพาะกับ “เงินเย็น” ที่เป็นเงินที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น การเลือกลงทุนให้เหมาะกับตัวเองจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้เงินเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เงินเย็นคือเงินที่สามารถนำไปลงทุนในระยะยาวได้โดยไม่กระทบต่อสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน

เงินเย็นคืออะไร ?

เงินเย็น คือ เงินที่เราไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้ (ประมาณ 3-5 ปีขึ้นไป) เป็นเงินส่วนที่เหลือจากค่าใช้จ่ายประจำวัน และเงินสำรองฉุกเฉิน ซึ่งเราสามารถนำไปลงทุนในระยะยาวได้โดยไม่กระทบต่อสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน

เงินเย็นมีลักษณะสำคัญคือ เป็นเงินที่เราสามารถปล่อยให้นอนอยู่ในการลงทุนได้เป็นเวลานาน แม้เผชิญกับความผันผวนในตลาดการเงินระยะสั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องถอนออกมาใช้ ทำให้สามารถรับความเสี่ยงได้มากกว่าเงินที่ต้องใช้ในระยะสั้น การมีเงินเย็นจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการวางแผนการเงินที่ดี เพราะช่วยให้เราสามารถแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นผ่านการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสเติบโตที่มากกว่า

“เงินเย็น” ต่างจาก “เงินร้อน” อย่างไร ?

เงินเย็นแตกต่างจาก “เงินร้อน” ตรงที่ เงินร้อนจะเป็นเงินที่อาจต้องใช้ในเวลาอันใกล้ เช่น เงินค่าใช้จ่ายประจำเดือน หรือเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เดือน ซึ่งควรเก็บไว้ในรูปแบบที่มีสภาพคล่องสูงและมีความเสี่ยงต่ำ เช่น บัญชีออมทรัพย์ หรือกองทุนตลาดเงิน

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการลงทุนเงินเย็น

การนำเงินเย็นไปลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายประการเพื่อให้การลงทุนสอดคล้องกับเป้าหมายและสถานการณ์ส่วนบุคคล โดยปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณามีดังนี้:

  • ระยะเวลาการลงทุน: เงินเย็นควรมีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน เช่น เพื่อเกษียณ เพื่อการศึกษาของบุตรในอนาคต  
     
  • ความเสี่ยงที่ยอมรับได้: แม้เป็นเงินเย็น แต่ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน  
     
  • ความรู้และประสบการณ์ในการลงทุน: การเลือกสินทรัพย์ลงทุนควรสอดคล้องกับความรู้ความเข้าใจที่มี
เงินเย็นคืออะไร และควรนำไปลงทุนอะไรดี

หุ้นและกองทุนรวมหุ้น

ในอดีต หุ้นเคยเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาวค่อนข้างสูง (บางช่วงเวลาเคยมีการอ้างอิงตัวเลขประมาณ 10-12% ต่อปีสำหรับดัชนี SET) อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงและขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงเวลานั้น ๆ ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอาจต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตพอสมควร อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นยังคงเหมาะกับเงินเย็นที่มีระยะเวลาลงทุนยาวนาน (เช่น 10 ปีขึ้นไป) เพื่อให้ผ่านพ้นความผันผวนระยะสั้น และผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลรวมถึงกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวหากมีความรู้และเวลาวิเคราะห์ หรือเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นที่มีผู้จัดการมืออาชีพบริหารจัดการให้ก็ได้

สำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือผู้มีเวลาจำกัด กองทุนดัชนี (Index Fund) หรือ ETF ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพ และสามารถเลือกให้ตรงกับเป้าหมาย ทั้งแบบเน้นการเติบโต (Growth Fund) หรือเน้นเงินปันผล (Dividend Fund)

กองทุนรวมผสม

กองทุนรวมผสม เป็นการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท (หุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก) ในสัดส่วนที่แตกต่างกันตามนโยบายการลงทุน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงแต่ไม่ต้องการบริหารพอร์ตที่ซับซ้อนด้วยตัวเอง 
 

กองทุนรวมมีหลายระดับความเสี่ยงให้เลือก ตั้งแต่กองทุนเน้นตราสารหนี้ (มีหุ้น 10-20%) ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ไปจนถึงเน้นหุ้น (มีหุ้น 70-80%) ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า

อสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REIT)

อสังหาริมทรัพย์สร้างรายได้ต่อเนื่องผ่านค่าเช่าและมีโอกาสเพิ่มมูลค่าในระยะยาว เป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยกระจายความเสี่ยงนอกเหนือจากหุ้นและตราสารหนี้ แทนการลงทุนโดยตรงที่ต้องใช้เงินสูงและมีภาระบริหารจัดการ

นอกจากนั้น ยังมีการลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่งเป็นทางเลือกที่สะดวกกว่า ใช้เงินลงทุนน้อย มีสภาพคล่องสูง โดย REIT มักจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงกว่าหุ้นทั่วไป (อัตราโดยประมาณ 5-7% คิดจากผลตอบแทนในอดีตซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดในแต่ละช่วง) จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ

การลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เป็นทางเลือกที่สะดวกกว่าการลงทุนโดยตรง โดย REIT มักจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงกว่าหุ้นทั่วไป โดยจะจ่ายเงินปันผลจากรายได้ค่าเช่า ซึ่งอัตราเงินปันผลมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับประเภทของอสังหาริมทรัพย์ ผลประกอบการ และสภาวะตลาด

ในบางช่วงเวลาและบางกองทุนอาจให้อัตราเงินปันผลที่น่าสนใจ (ตัวอย่างเช่น ในช่วงปี 2566-2568 แสดงอัตราเงินปันผลตั้งแต่ประมาณ 4% ไปจนถึงมากกว่า 10% ในบางกองทุน) จึงอาจเหมาะกับผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเฉพาะของแต่ละกองทุนและปัจจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน

ตราสารหนี้ระยะยาว

ตราสารหนี้ระยะยาว เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่มีอายุ 5-30 ปี ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้นแต่มีความผันผวนน้อยกว่า ช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้กับพอร์ตการลงทุน และให้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยและการเปลี่ยนแปลงราคา โดยที่ตราสารหนี้ระยะยาวมักให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าแต่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดมากกว่า

ผู้ลงทุนสามารถซื้อตราสารหนี้โดยตรงหรือลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ซึ่งมีการกระจายความเสี่ยงและสภาพคล่องสูงกว่า เหมาะเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนระยะยาวโดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้นหรือเข้าใกล้เป้าหมายทางการเงิน

กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะกับเงินเย็น

คนวัยทำงานเลือกการลงทุนที่เหมาะกับเงินเย็น

การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging)

การลงทุนแบบ DCA หรือการทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะกับเงินเย็นโดยเฉพาะสำหรับสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่างหุ้น โดยแบ่งเงินลงทุนเป็นส่วน ๆ ลงทุนเป็นประจำทุกเดือนหรือทุกไตรมาส ไม่ว่าราคาตลาดจะเป็นอย่างไร ช่วยลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาดที่ผิดพลาด เพราะเมื่อราคาต่ำจะซื้อได้มากขึ้น เมื่อราคาสูงก็ซื้อได้น้อยลง ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่ำกว่าราคาเฉลี่ยในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยสร้างวินัยการลงทุนและลดการตัดสินใจจากอารมณ์ เพราะเป็นการลงทุนตามแผนที่วางไว้

การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง (Diversification)

การกระจายความเสี่ยงเป็นหลักการสำคัญในการลงทุนระยะยาว โดยควรแบ่งเงินลงทุนไปในสินทรัพย์หลากหลายประเภทที่มีความสัมพันธ์ของผลตอบแทนไม่สูงนัก เช่น หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ เพื่อช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม เพราะขณะที่สินทรัพย์บางประเภทให้ผลตอบแทนไม่ดี สินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ อาจช่วยชดเชยได้ แต่ในการกระจายความเสี่ยงนั้นควรทำในหลายมิติ ทั้งตามประเภทสินทรัพย์ ภูมิภาค อุตสาหกรรม และขนาดบริษัท อย่างไรก็ตาม ไม่ควรกระจายมากเกินไปจนทำให้ผลตอบแทนโดยรวมลดลง แต่ควรทำอย่างสมเหตุสมผลตามเป้าหมายการลงทุน

การลงทุนตามอายุและเป้าหมาย (Goal-Based Investing)

การลงทุนตามเป้าหมายเป็นการกำหนดสัดส่วนการลงทุนโดยคำนึงถึงระยะเวลาและวัตถุประสงค์ของเงินเย็นแต่ละก้อน โดยหลักการสำคัญคือ ยิ่งระยะเวลาถึงเป้าหมายยาวนานก็ยิ่งรับความเสี่ยงได้มาก เช่น เกษียณในอีก 30 ปี แต่หากเป็นเป้าหมายที่ไม่ยาวมากนัก เช่น การศึกษาบุตรในอีก 5 ปี ควรปรับลดความเสี่ยงเพื่อป้องกันการสูญเสียเงินต้นในช่วงตลาดผันผวน

เริ่มต้นลงทุนเงินเย็นอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง ?

  1. ประเมินฐานะการเงินและเป้าหมาย – ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเพียงพอก่อนเริ่มลงทุนเงินเย็น 
     
  2. กำหนดระยะเวลาและเป้าหมายที่ชัดเจน – เช่น ลงทุนเพื่อเกษียณในอีก 20 ปี หรือเพื่อการศึกษาบุตรในอีก 10 ปี ประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ – ทำแบบประเมินความเสี่ยง หรือพิจารณาความรู้สึกเมื่อการลงทุนมีความผันผวน 
     
  3. เลือกสินทรัพย์ลงทุนที่เหมาะสม – อาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
     
  4. ติดตามและปรับพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ – ประเมินผลการลงทุนและปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์

มีเงินเย็น อยากเริ่มลงทุนในหุ้น เริ่มออมหุ้นไทยง่าย ๆ ด้วยบริการ DCA หุ้นจาก PhillipCapital

DCA หุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หนึ่งในกลุ่มบริษัท PhillipCapital จากสิงคโปร์ ที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 50 ปี มีเครือข่ายใน 5 ทวีป 15 ประเทศทั่วโลก มีเงินน้อยก็ลงทุนได้ พร้อมมีนักวิเคราะห์ช่วยคัดสรรหุ้นพื้นฐานดี มาให้เลือกลงทุน เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการลงทุนได้ด้วยตนเอง สนใจออมหุ้นไทยแบบ DCA สามารถเปิดบัญชีผ่านออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์

https://aoo.poems.in.th/account/login/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เบอร์ 02 153 9222 LINE Official @PhillipCapital *การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน 

ข้อมูลอ้างอิง เปลี่ยนเงินเย็นให้เป็นเงินลงทุน. สืบค้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 จาก https://smes.academy/blog/post/เปลี่ยนเงินเย็นให้เป็นเงินลงทุน