by Phillip
วันที่ 9 ก.ย. 2568 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 10 ก.ย. 2568
10 กองทุนรวมต่างประเทศที่น่าสนใจ ผลประกอบการดี ปี 2568

เจาะลึกโอกาสและความเสี่ยงของกองทุนรวมต่างประเทศ

เจาะลึกกองทุนรวมต่างประเทศปี 2568 ! วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ ข้อดี-ข้อควรระวัง พร้อมแนะนำ 10 กองทุนหุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจ และวิธีเลือกซื้อกองทุนต่างประเทศให้เหมาะกับคุณ

ทำไมกองทุนรวมต่างประเทศถึงน่าสนใจในสายตานักลงทุน ?

การลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ (Foreign Mutual Funds หรือ FIF) กำลังเป็นที่จับตามองของนักลงทุนจำนวนมาก เพราะการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศผ่านการซื้อกองทุนรวม ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังเปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูงทั่วโลก

กองทุนรวมต่างประเทศคือการลงทุนในรูปแบบไหน ?

กองทุนรวมต่างประเทศ คือ กองทุนรวมที่ลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอื่น ๆ หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ ในต่างประเทศ โดยมีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารจัดการพอร์ต

ประเภทของกองทุนรวมต่างประเทศ

ประเภทของกองทุนรวมต่างประเทศ สามารถแบ่งได้หลากหลายตามนโยบายการลงทุน ดังต่อไปนี้

นักลงทุนกำลังเลือกกองทุนรวมต่างประเทศที่น่าสนใจ

กองทุนหุ้นต่างประเทศ (Foreign Equity Funds)

เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงและสามารถรับความผันผวนได้ เช่น กองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น หรือตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ (Foreign Fixed Income Funds)

เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐหรือเอกชนในต่างประเทศ มีความเสี่ยงต่ำกว่ากองทุนหุ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอ

กองทุนรวมผสมต่างประเทศ (Foreign Balanced Funds)

ลงทุนทั้งในหุ้นและตราสารหนี้ต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างสมดุลของผลตอบแทน

กองทุนรวมตลาดเงินต่างประเทศ (Foreign Money Market Funds)

ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นในต่างประเทศ มีสภาพคล่องสูงและความเสี่ยงต่ำมาก เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย

กองทุนรวมดัชนีต่างประเทศ (Foreign Index Funds)

ลงทุนตามดัชนีอ้างอิงในต่างประเทศ เช่น S&P 500, NASDAQ, MSCI World เป็นต้น เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อกองทุนต่างประเทศ โดยมีค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างต่ำ

กองทุนรวมรายอุตสาหกรรมหรือรายประเทศ (Sector/Country Specific Funds)

เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง เช่น เทคโนโลยี, สุขภาพ หรือในประเทศ/ภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น กองทุนรวมหุ้นจีน กองทุนรวมหุ้นเวียดนาม กองทุนรวมหุ้นเทคโนโลยี

ข้อดีและข้อควรระวังในการซื้อกองทุนรวมต่างประเทศ

ข้อดี

  • กระจายความเสี่ยง (Diversification): การลงทุนในหลายประเทศและหลายสินทรัพย์ช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของการลงทุนในประเทศใดประเทศหนึ่ง 
     
  • โอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น: เข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูงทั่วโลก ซึ่งอาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว 
     
  • เข้าถึงอุตสาหกรรมและบริษัทชั้นนำระดับโลก: เปิดโอกาสให้ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ หรืออุตสาหกรรมที่ไม่มีในตลาดหุ้นไทย 
     
  • มีผู้เชี่ยวชาญบริหารจัดการ: มีผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และเลือกสินทรัพย์ลงทุนในต่างประเทศ 
     
  • ทางเลือกหลากหลาย: มีกองทุนรวมที่น่าสนใจให้เลือกมากมายตามระดับความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุน

ข้อควรระวังในการลงทุน

  • ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk): การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศที่กองทุนไปลงทุน อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าเงินลงทุนและผลตอบแทน 
     
  • ความเสี่ยงของประเทศที่ลงทุน (Country Risk): ปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในประเทศที่กองทุนไปลงทุน อาจส่งผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์ 
     
  • ความซับซ้อนและข้อมูล: การทำความเข้าใจนโยบายการลงทุนและติดตามข้อมูลข่าวสารของตลาดต่างประเทศอาจมีความซับซ้อนกว่าการลงทุนในประเทศ 
     
  • ค่าธรรมเนียม: กองทุนรวมต่างประเทศ บางกองทุนอาจมีค่าธรรมเนียมสูงกว่ากองทุนในประเทศ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการที่ซับซ้อนกว่า 
     
  • ความผันผวนของตลาดโลก: ตลาดการเงินโลกมีความเชื่อมโยงกันสูง เหตุการณ์ในประเทศหนึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดอื่น ๆ ได้

แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2568 และผลกระทบต่อกองทุน

การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2568 เป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อกองทุนต่างประเทศ เนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจจะมีผลโดยตรงต่อผลการดำเนินงานของกองทุนประเภทต่าง ๆ โดยตรง

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังวิกฤต

คาดการณ์ว่าในปี 2568 เศรษฐกิจโลกโดยรวมจะยังคงอยู่ในทิศทางการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ปัจจัยหนุนการฟื้นตัวอาจมาจาก

  • การปรับตัวของภาคธุรกิจ หลายอุตสาหกรรมเริ่มปรับตัวและมีการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากขึ้น 
     
  • นโยบายภาครัฐ บางประเทศอาจยังคงมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนการเติบโต 
     
  • การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ การฟื้นตัวของห่วงโซ่อุปทานโลกและการค้าขายระหว่างประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น 
     
  • ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) บางประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่อาจมีศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่น จากจำนวนประชากรวัยทำงาน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เวียดนาม หรือภูมิภาคอาเซียน

ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่มีต่อกองทุนรวมต่างประเทศ

กองทุนหุ้นต่างประเทศ

  • หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้ดี ตลาดหุ้นโดยรวมมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศหรืออุตสาหกรรมที่เติบโตสูง 
     
  • หากอัตราดอกเบี้ยเริ่มมีทิศทางปรับลดลง อาจเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stocks) และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

 

กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ

หากอัตราดอกเบี้ยทรงตัวหรือปรับลดลง ราคาตราสารหนี้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อกองทุนตราสารหนี้ โดยกองทุนตราสารหนี้คุณภาพดี (Investment Grade) อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยง

กองทุนรวมที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่

อาจได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ (หากเกิดขึ้น) แต่ก็มีความเสี่ยงสูงกว่าตลาดพัฒนาแล้ว

กองทุนรวมรายอุตสาหกรรม

กองทุนที่ลงทุนในอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์ระยะยาว เช่น เทคโนโลยี พลังงานสะอาด สุขภาพ อาจยังคงเป็นกองทุนรวมที่น่าสนใจ

นักลงทุนกำลังอ่านข้อมูลกองทุนรวมที่น่าสนใจ

แนะนำ 10 กองทุนรวมต่างประเทศที่น่าสนใจในปี 2568

จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น รวมถึงข้อมูลผลการดำเนินงานที่น่าสนใจ การเลือกซื้อกองทุนต่างประเทศที่มีศักยภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ นี่คือตัวอย่าง 10 กองทุนรวมที่น่าสนใจ ซึ่งนักลงทุนอาจพิจารณาเป็นแนวทางเบื้องต้น โดยควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก Fund Fact Sheet ของแต่ละกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุน

1. KFGDIV (บลจ. KSAM)

ประเภทสินทรัพย์: หุ้นโลก

ระดับความเสี่ยง: 6

นโยบายการลงทุน

ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Fidelity Funds – Global Dividend Fund เน้นคัดเลือกหุ้นที่มีระดับรายได้และกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ โดยเน้นการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและยั่งยืน ลงทุนหลากหลายประเทศ เช่น Financials, Industrials, Consumer Staples

ผลตอบแทนย้อนหลัง

  • 6 เดือน 7.88%
  • 1 ปี 15.57%
  • 3 ปี 7.87%

จุดเด่น

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรายได้จากเงินปันผลและลงทุนในบริษัทมั่นคงทั่วโลก

2. K-GSELECTU-C(A) (บลจ. KAsset)

ประเภทสินทรัพย์: หุ้นโลก

ระดับความเสี่ยง: 6

นโยบายการลงทุน

ลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Global Select Equity ETF บริหารพอร์ตแบบยืดหยุ่นตามสภาวะการลงทุน ทั้งหุ้นสไตล์ Growth และ Value กระจายการลงทุนในหุ้นประมาณ 70-90 ตัว ในหลากหลายอุตสาหกรรมและประเทศ

ผลตอบแทนย้อนหลัง

6 เดือน -6.00% (ข้อมูล 1 ปี และ 3 ปี เป็น N/A)

จุดเด่น

ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ยืดหยุ่น ปรับตัวตามสภาวะตลาด

3. KFUS-A (บลจ. KSAM)

ประเภทสินทรัพย์: หุ้นสหรัฐฯ

ระดับความเสี่ยง: 6

นโยบายการลงทุน

ลงทุนผ่านกองทุนหลัก GQG Partners US Equity Fund Class I เน้นลงทุนในธุรกิจคุณภาพสูง มีแนวโน้มผลกำไรชัดเจน และศักยภาพเติบโตระยะกลางถึงยาว พอร์ตค่อนข้างกระจุกตัว (30-40 ตัว)

ผลตอบแทนย้อนหลัง

  • 6 เดือน -13.50%
  • 1 ปี 1.52%
  • 3 ปี 5.06%

 

จุดเด่น

เน้นหุ้นคุณภาพในตลาดสหรัฐฯ ที่มีศักยภาพเติบโต

4. K-GTECH (บลจ. KAsset)

ประเภทสินทรัพย์: หุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก

ระดับความเสี่ยง: 7

นโยบายการลงทุน

ลงทุนผ่านกองทุนหลัก CT (Lux) Global Technology, Class IU USD เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่มีโอกาสเติบโตเหมาะสม ทั้งบริษัทขนาดเล็ก-กลาง-ใหญ่

ผลตอบแทนย้อนหลัง

  • 6 เดือน -7.70%
  • 1 ปี 1.28%

(ข้อมูล 3 ปี เป็น N/A)

จุดเด่น

เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในธีมหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก

5. B-INNOTECH (บลจ. BBLAM)

ประเภทสินทรัพย์: หุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก

ระดับความเสี่ยง: 7

นโยบายการลงทุน

ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Fidelity Funds – Global Technology Fund (กองทุนหลัก) เน้นคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-Up ในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี โดยกระจายการลงทุนทั้งจำนวนหุ้นในพอร์ต (60-100 ตัว) และกระจายภูมิภาค

ผลตอบแทนย้อนหลัง

  • 6 เดือน -0.04%
  • 1 ปี 5.22%
  • 3 ปี 11.75%

จุดเด่น

ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่มีนวัตกรรมโดดเด่น

6. ASP-NGF (บลจ. ASPAM)

ประเภทสินทรัพย์: หุ้นญี่ปุ่น

ระดับความเสี่ยง: 6

นโยบายการลงทุน

ลงทุนผ่านกองทุนหลัก E.I. Sturdza Funds plc – Nippon Growth (UCITS) Fund เน้นลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นกลุ่ม Industrials, Financials, และ Consumer Cyclical

ผลตอบแทนย้อนหลัง

  • 6 เดือน 7.04%
  • 1 ปี 6.37%
  • 3 ปี 21.01%

จุดเด่น

โอกาสเติบโตจากตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมและการเงิน

7. MEGA10CHINA-A (บลจ. TALISAM)

ประเภทสินทรัพย์: หุ้นจีน

ระดับความเสี่ยง: 6

นโยบายการลงทุน

ลงทุนโดยตรงในหุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่ม TOP/BEST CHINESE BRANDS โดยผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกและพิจารณาลงทุนประมาณ 10 บริษัท

ผลตอบแทนย้อนหลัง

  • 6 เดือน 14.84%
  • 1 ปี 22.23%

ข้อมูล 3 ปี เป็น N/A

จุดเด่น

เน้นลงทุนในแบรนด์ชั้นนำของจีนที่มีศักยภาพสูง

8. B-BHARATA (บลจ. BBLAM)

ประเภทสินทรัพย์: หุ้นอินเดีย

ระดับความเสี่ยง: 6

นโยบายการลงทุน

มองหาหุ้นเติบโตระยะกลางถึงยาว ส่วนใหญ่ให้น้ำหนักในหุ้นกลุ่ม Growth ขนาดใหญ่ถึงกลาง ผสมหุ้นกลุ่ม Defensive ขนาดใหญ่ กองทุนถือหุ้นแบบกระจาย (ประมาณ 60-70 ตัว) ปัจจุบัน Overweight กลุ่มการเงิน

ผลตอบแทนย้อนหลัง

  • 6 เดือน -6.75%
  • 1 ปี -2.42%
  • 3 ปี 8.15%

จุดเด่น

โอกาสเติบโตจากตลาดหุ้นอินเดียที่กำลังมาแรง

9. PRINCIPAL VNEQ-A (บลจ. Principal)

ประเภทสินทรัพย์: หุ้นเวียดนาม

ระดับความเสี่ยง: 6

นโยบายการลงทุน

ลงทุนโดยตรงในหุ้นเวียดนาม เน้นกลุ่ม Financial, Technology, และ Construction Services

ผลตอบแทนย้อนหลัง

  • 6 เดือน -7.07%
  • 1 ปี -13.40%
  • 3 ปี -3.03%

จุดเด่น

เข้าถึงโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามโดยตรง

10. KFHEALTH-A (บลจ. KSAM)

ประเภทสินทรัพย์: หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์

ระดับความเสี่ยง: 7

นโยบายการลงทุน

ลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds – Global Healthcare Fund กระจายการลงทุนในหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ทั่วโลกตาม 4 หมวดธุรกิจหลัก: Pharmaceuticals, Biotechnology, Medtech&Tools, และ Healthcare Service

ผลตอบแทนย้อนหลัง

  • 6 เดือน -13.50%
  • 1 ปี -18.45%
  • 3 ปี -1.97%

จุดเด่น

ลงทุนในธีมการดูแลสุขภาพทั่วโลก ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์สำคัญ

หมายเหตุ: *ข้อมูลจาก Morningstar (ณ วันที่ 30 พ.ค. 2568) – ข้อมูลผลตอบแทนเป็นข้อมูลในอดีต และมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

การวิเคราะห์ความเสี่ยงของแต่ละกองทุน

การวิเคราะห์ความเสี่ยงของกองทุนรวมต่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การดูผลตอบแทน ควรพิจารณาจาก

  • ระดับความเสี่ยงของกองทุน (Risk Spectrum): โดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 8 ระดับ กองทุนที่มีความเสี่ยงสูงมักมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีโอกาสขาดทุนสูงเช่นกัน จากข้อมูลจะเห็นว่ากองทุนส่วนใหญ่อยู่ในระดับความเสี่ยง 6 และ 7
     
  • หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ (Fund Fact Sheet): เป็นเอกสารสำคัญที่ให้ข้อมูลครบถ้วนเกี่ยวกับกองทุน ทั้งนโยบายการลงทุน สัดส่วนสินทรัพย์ที่ลงทุน ค่าธรรมเนียม ผลการดำเนินงานย้อนหลัง และตัวชี้วัดความเสี่ยง เช่น Standard Deviation (SD) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน แสดงความผันผวนของผลตอบแทนกองทุน ค่ายิ่งสูงยิ่งผันผวนมาก
     
  • Sharpe Ratio: อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง ค่ายิ่งสูงยิ่งดี หมายถึงกองทุนสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่เท่ากัน
     
  • ประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุน: กองทุนหุ้นต่างประเทศ โดยทั่วไปมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนตราสารหนี้
     
  • การกระจุกตัวของการลงทุน: กองทุนที่ลงทุนกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง หรืออุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง จะมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนที่กระจายการลงทุนหลากหลาย
     
  • ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: ตรวจสอบว่ากองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) หรือไม่ และป้องกันเท่าใด

วิธีการเลือกกองทุนรวมต่างประเทศที่เหมาะสม

การเลือก กองทุนรวมต่างประเทศ ที่เหมาะสมกับตัวเองนั้น ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่มีหลักการที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ ดังนี้

  • กำหนดเป้าหมายการลงทุน (Investment Goal): คุณลงทุนเพื่ออะไร ? เพื่อการเกษียณ เพื่อการศึกษาบุตร หรือเพื่อเป้าหมายระยะสั้น-กลาง-ยาว การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เลือกประเภทกองทุนได้เหมาะสม
     
  • ประเมินระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Tolerance): คุณสามารถรับความผันผวนของเงินลงทุนได้มากน้อยเพียงใด หากรับความเสี่ยงได้น้อย อาจต้องเน้นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ หากรับความเสี่ยงได้สูง ก็สามารถพิจารณา กองทุนหุ้นต่างประเทศ ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงได้
     
  • ระยะเวลาการลงทุน (Investment Horizon): หากลงทุนระยะยาว (5 ปีขึ้นไป) สามารถรับความผันผวนได้มากขึ้นและมีโอกาสเลือกลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูง เช่น หุ้น ได้มากกว่าการลงทุนระยะสั้น
     
  • ศึกษาข้อมูลกองทุนอย่างละเอียด: อ่าน Fund Fact Sheet เปรียบเทียบนโยบายการลงทุน ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ค่าธรรมเนียม และความเสี่ยงของ กองทุนรวมที่น่าสนใจ หลาย ๆ กองทุน
     
  • พิจารณาค่าธรรมเนียม: ค่าธรรมเนียมมีผลต่อผลตอบแทนระยะยาว ควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Front-end/Back-end Fee) และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
     
  • กระจายการลงทุน (Diversification): อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว การซื้อกองทุนต่างประเทศ หลาย ๆ กองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์หรือภูมิภาคที่แตกต่างกัน จะช่วยกระจายความเสี่ยงได้
     
  • ติดตามและปรับพอร์ตการลงทุน: ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ควรติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนและสภาวะตลาดอย่างสม่ำเสมอ และปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเป้าหมายที่อาจเปลี่ยนแปลงไป
     
  • ปรึกษาผู้แนะนำการลงทุน: หากไม่มั่นใจ สามารถปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนที่ได้รับใบอนุญาต เพื่อขอคำแนะนำในการเลือกกองทุนที่เหมาะสม

สรุปข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ

การลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศในปี 2568 ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและแสวงหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากตลาดโลก ด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังต่อไปนี้

  • เปิดประตูสู่การเติบโตระดับโลก เข้าถึงตลาดและอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพซึ่งอาจไม่มีในประเทศไทย
     
  • กระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการพึ่งพาสภาวะเศรษฐกิจในประเทศเพียงอย่างเดียว
     
  • บริหารโดยมืออาชีพ มีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
     
  • มีตัวเลือกหลากหลาย สามารถเลือก กองทุนรวมที่น่าสนใจ และ กองทุนหุ้นต่างประเทศ ที่ตอบโจทย์เป้าหมายและระดับความเสี่ยงของตนเองได้

ขั้นตอนการซื้อกองทุนรวม กับ PhillipCapital

คุณสามารถซื้อกองทุนรวมที่น่าสนใจได้ทุกสินทรัพย์ ทั้งไทยและต่างประเทศ ใช้เงินเริ่มเพียง 100 บาท กับ “Pocket” แอปพลิเคชันลงทุนใหม่จาก PhillipCapital

Features เด่นภายในแอป

  • แนะนำกองทุนรวมเด่น โดยนักวิเคราะห์กองทุน
     
  • ลงทุนง่าย เริ่มต้นน้อย ไม่ต้องเฝ้าจอ
     
  • ปรับพอร์ตการลงทุนได้ทุกวัน
     
  • ฟีเจอร์ “Pocket มีไอเดีย” ทำพอร์ตจำลองได้ก่อนลงทุนจริง
     
  • พิเศษ ! DCA ในทุกสินทรัพย์ เริ่มเพียง 500 บาท เท่านั้น 
     

ดาวน์โหลดแอป Pocket ได้แล้ววันนี้ที่

App Store: Download

Google Play: Download
 

อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของ Pocket

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน