by Jitta
วันที่ 15 ก.ย. 2563 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 15 ก.ย. 2563
    งบไม่เยอะ ก็ลงทุนหุ้นเทคอเมริกาได้

    จะลงทุนเองโดยตรงก็ไม่ถนัด… เพราะการวิเคราะห์ธุรกิจด้วยตนเองไม่ใช่เรื่องง่าย

    การลงทุนผ่านกองทุนหุ้นก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะมีมืออาชีพมาช่วยบริหารจัดการ ทั้งการเลือกหุ้น จังหวะในการซื้อขาย และการจัดการเรื่องภาษีและกฏหมายต่างๆ แถมเริ่มได้ด้วยงบไม่ต้องเยอะมาก

    อย่างไรก็ตาม การลงทุนผ่านกองทุนหุ้นยังมีจำกัดบางอย่าง เช่น ค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะกองทุนแบบ Active Fund ที่ผู้จัดการกองทุนต้องปรับพอร์ตตลอดเวลาเพื่อให้ผลตอบแทนออกมาดี

    ซึ่งทางเลือกในการลงทุนหุ้นอเมริกาแบบง่ายๆ เพื่อตอบโจทย์ข้อจำกัดของการลงทุนผ่านกองทุนดังกล่าว ก็คือ Exchanged Trade Fund (ETF) ที่เกิดขึ้นมาเป็นเครื่องมือในการลงทุนเหมือนหุ้นหนึ่งตัว

    ETF มีข้อดีอย่างไร

    1. เป็นเหมือนหุ้นที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา

    สภาพคล่องจึงสูง เพราะซื้อขายได้ตลอด ไม่ติดขัดข้อจำกัดเหมือนกองทุนประเภทอื่นที่ต้องซื้อขายด้วยราคาตอนปิดตลาด

    2. มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพเลือกหุ้นที่เหมาะสมให้

    ส่วนมากจะเป็น ETF ที่อิงกับดัชนีต่างๆ เช่น S&P500 หรืออิงตามอุตสาหกรรม เช่น ค้าปลีก ไอที และสื่อสาร ทำให้ง่ายในการเลือกลงทุน

    3. ค่าใช้จ่ายถูกกว่าเมื่อเทียบกับกองทุนประเภทอื่น

    ยกตัวอย่างเช่น กองทุนของ Vanguard ETF มีค่าใช้จ่ายเพียง 0.1% ต่อปี เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนหุ้นทั่วไปในอเมริกามีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1.23% (อ้างอิงข้อมูลจาก Vanguard Fund)

    ETF ที่น่าสนใจสำหรับคนเพิ่งเริ่มต้น

    ผมแนะนำให้ลองพิจารณาตัวเลือกเหล่านี้ดู เพราะเป็น ETF ที่ค่อนข้างมั่นคง ได้รับความนิยมสูงในสหรัฐฯ

    VGT

    สำหรับคนที่ชอบหุ้นเทคโนโลยี รับความเสี่ยงได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย ลองพิจารณา Vanguard Information Technology ETF (VGT) ที่เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทั้งไอที การเงิน ผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ เช่นหุ้น Apple Microsoft Visa Mastercard Paypal Nvidia เป็นต้น

    ETF ตัวนี้ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีเฉลี่ยอยู่ที่ 22.95% ต่อปีแบบทบต้น

    VOO

    ส่วนนักลงทุนที่อยากกระจายไปลงหุ้นใหญ่ๆ 500 ตัวในดัชนี S&P500 ก็มี Vanguard S&P500 ETF (VOO) ที่ลงทุนในกลุ่มไอที การเงิน เฮลท์แคร์ สื่อสาร และคอนซูมเมอร์เช่น Microsoft Apple Amazon Facebook Berkshire Hathaway JP Morgan Johnson & Johnson และ Visa

    หุ้น 10 อันดับแรกถืออยู่เป็นสัดส่วน 28.7% ของทั้งหมด

    โดย ETF ตัวนี้ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีเฉลี่ยอยู่ที่ 10.69% ต่อปีแบบทบต้น

    VTI

    แต่สำหรับคนที่ต้องการความเสี่ยงน้อยกว่าสองตัวแรกก็มี Vanguard Total Stock Market ETF (VTI) ที่กระจายลงทุนในหุ้น 3,529 ตัวคลอบคลุมทั้งหุ้นเติบโตสูงและหุ้นคุณค่าที่มีขนาดเล็ก กลาง และใหญ่

    หุ้นอันดับต้นๆได้แก่ Apple Microsoft Amazon Alphabet และ Facebook แต่นำ้หนักของหุ้น 10 ตัวแรกเป็นเพียง 23.90% ของทั้งพอร์ต เทียบกับสองแบบแรกที่มีสัดส่วนสูงกว่ามาก

    โดย ETF ตัวนี้ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีเฉลี่ยอยู่ที่ 10.00% ต่อปีแบบทบต้น

    จะเห็นได้ว่า ETF ในแต่ละแบบเหมาะสมกับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน แต่ผลตอบแทนในรอบ 5 ปีก็อยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับการลงทุนด้วยตัวเอง

    ยิ่งถ้าไม่ชอบศึกษาหุ้น การลงทุนผ่าน ETF น่าจะตอบโจทย์ทั้งเรื่องความสะดวกและผลตอบแทนที่จะได้รับ

    ซึ่งล่าสุด Jitta Wealth ก็ได้เปิดบริการกองทุนส่วนบุคคลใหม่ชื่อว่า Global ETF ที่เริ่มต้นเพียง 100,000 บาท Jitta Wealth ก็จะพานักลงทุนกระจายความเสี่ยงทั่วโลก ผ่านกองทุน ETF ในอเมริกา

    โดย Jitta Wealth จะจัดพอร์ตด้วย ETF ประมาณ 4-5 กอง ให้ครอบคลุมสินทรัพย์คุณภาพดีทั่วโลก และคอยดูแลปรับพอร์ตให้แบบอัตโนมัติ เพื่อผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ย 4-8% ต่อปี ด้วยความเสี่ยงต่ำ

    และหนึ่งใน ETF ที่ Jitta Wealth จะนำมาจัดพอร์ตให้ ก็คือ VTI ที่มีหุ้นเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบอยู่ในนั้นหลายตัวเลยครับหากสนใจ ลองไปดูข้อมูลที่ https://bit.ly/35vg2eJ ก่อนได้

    หรือจะรับชม Live ที่ CEO ของ Jitta Wealth จะมาอธิบายเกี่ยวกับ Global ETF อย่างละเอียดในวันพรุ่งนี้ได้ที่ Live: ลงทุนต่างประเทศวิถีใหม่ สไตล์ Global ETF

    ไม่ว่าจะงบน้อยหรือเยอะ ก็สามารถไปลงทุนหุ้นเทคในสหรัฐฯ ได้ทั้งนั้น และผมมีความเชื่อว่าหุ้นเทคอเมริกายังสามารถเติบโตได้ดีในระยะยาวครับ 😁