by Thatree Homsirikamol
วันที่ 30 พ.ย. 2563 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 12 ม.ค. 2566
ปรับทัพลงทุนหุ้นเวียดนาม สหรัฐฯ จีน

เวียดนาม-อเมริกา-จีน โอกาสลงทุนที่ไม่ควรพลาด

งานสัมมนา ‘ปรับทัพลงทุนหุ้น เวียดนาม-อเมริกา-จีน’ จัดโดยกลุ่มนักลงทุนหุ้นเวียดนาม (แบบเน้นคุณค่า) (Vietnam Value Investor หุ้นเวียดนาม) ร่วมกับบลจ. จิตตะ เวลธ์ และบล. บัวหลวง ครั้งนี้บอกได้เลยว่า เป็นการเปิดโลกกว้างการลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศแบบเน้นๆให้กับนักลงทุนจริงๆ 

ไม่เพียงแต่จะได้เจาะลึกลงทุนหุ้นเด็ดน่าจับตามองยังได้ความรู้และความคิดเห็นจากปรมาจารย์นักลงทุนสาย VI อย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร คุณวีระพงษ์ ธัม คุณตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ และอีกหลายๆ ท่านที่มาเติมเต็มความรู้และความสนุกสนานกับงานสัมมนาครั้งนี้ พร้อมทั้งมาเปิดมุมมองให้นักลงทุนทำความเข้าใจกับตลาดต่างประเทศ กระจายความเสี่ยงพอร์ตลงทุนด้วยการลงทุนหุ้นต่างประเทศ

เราได้สรุปจุดเด่นของตลาดหุ้นทั้ง 3 ประเทศมาให้คุณได้ทำความรู้จัก และเลือกได้ว่า โอกาสในการลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศของคุณจะไปประเทศไหนได้บ้าง

เวียดนาม ตลาดหุ้นมาแรง

ตลาดหุ้นเวียดนาม เป็นตลาดทุนที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโต เป็นโอกาสการลงทุนในอนาคต 

ในช่วง Covid-19 ที่ผ่านมา เวียดนามเป็นประเทศเดียวของอาเซียนที่มีเศรษฐกิจเติบโตถึง 2.6% ปี 2563 ภาคค้าปลีกเติบโต 5% ภาคส่งออกโต 4% สะท้อนพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแรง มีศักยภาพในการเติบโตได้ต่อเนื่อง ปัจจัยบวกเหล่านี้ จะสะท้อนไปยังทิศทางตลาดหุ้นเวียดนามด้วยเช่นกัน

ส่วนประเทศอื่นๆ ในอาเซียนยังหืดจับกับสภาวะเศรษฐกิจขาลง เวียดนามจึงเป็นม้ามืดที่โดดเด่นที่สุดในภูมิภาคนี้

ดร.นิเวศน์บอกว่า เวียดนามเป็น ‘Next Economic Miracle’ เพราะอนาคตของเวียดนามดูสดใสมากและหุ้นบางตัวมีมูลค่าดั่งไข่ทองคำที่รอเวลาฟักตัว

ภาคการผลิตของเวียดนามกำลังจะมีเม็ดเงินมหาศาลจากการย้ายฐานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์จากบริษัทจีน เพราะค่าแรงของเวียดนามยังถูกมาก เมื่อเทียบกับไทยก็ถูกกว่า 50% ปัจจุบันฐานเงินเดือนของเวียดนามอยู่ที่ 250 ดอลลาร์สหรัฐ 

ดร.นิเวศน์ คาดว่า ถ้าค่าแรงของเวียดนามจะเพิ่มขึ้นปีละ 5% ในอีก 10 ปีข้างหน้า ก็จะเทียบเท่าฐานเงินเดือนของไทยได้

นอกจากนี้ปัจจัยบวกที่สร้างโอกาสการเติบโตให้เวียดนามคือ กำลังซื้อภาคประชาชน ปัจจุบันคนเวียดนามยังพยายามหลีกเลี่ยงการกู้ยืมเงิน ทั้งสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต และสินเชื่อภาคธุรกิจ

ถ้าเมื่อใดที่บริษัทและผู้บริโภคเหล่านี้ทำความเข้าใจถึงการใช้สินเชื่อธนาคารหรือบัตรเครดิตได้อย่างถูกต้อง เชื่อได้เลยว่า เวียดนามจะโตติดจรวดแบบหยุดไม่อยู่เลยที่เดียว 

การเข้าถึงสินเชื่อในยามจำเป็นและเพื่อใช้ขยายธุรกิจนั้นจะนำมาสู่เม็ดเงินที่จะหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดการเงินและการลงทุนอีกมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใหม่ ขยายธุรกิจ และการใช้จ่าย ซึ่งเม็ดเงินบางส่วนก็จะไหลเข้าสู่ตลาดทุน และมีส่วนเสริมให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนามเติบโต ไม่ว่าจะเป็นด้วย Market Cap หรือผลประกอบการ

นอกจากนี้ ดร.นิเวศน์ มองว่า ตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มมีรายย่อยอย่างคนเวียดนามสนใจลงทุน คาดว่า ปี 2563 นี้จะเป็นปีที่นักลงทุนรายย่อยเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์มากที่สุด กลุ่มรายย่อยนี้เอง จะมีส่วนช่วยดันดัชนี VN Index ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะสถานการณ์ Covid-19 ในปัจจุบัน มีผลทำให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง รอจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

ดร.นิเวศน์ บอกอีกว่า ตลาดหุ้นยังมีความน่าสนใจ เพราะด้วยสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ธนาคารกลางยังคงดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับต่ำไปอีกนาน เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไว้ ดังนั้นดอกเบี้ยเงินฝากจะอยู่ในระดับต่ำด้วยเช่นกัน

ส่วนทางเลือกในการลงทุนพันธบัตรและตราสารหนี้ ผลตอบแทนตอนนี้น่าจะอยู่ราวๆ 2% ต่อปี เทียบจากเมื่อ 5-6 ปีก่อน ผลตอบแทนยังสูงที่ 6-7% ต่อปี

อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังจัดว่า เป็นตลาดเกิดใหม่ จึงยังมีความเสี่ยงในการลงทุน ดร.นิเวศน์ บอกว่า นักลงทุนเองควรหมั่นศึกษาและทำความเข้าใจถึงสภาพธุรกิจและกฎหมายต่างๆ ของเวียดนามไว้ด้วย

สนใจลงทุน ‘หุ้นดีราคาถูก’ ประเทศเวียดนาม แต่ไม่มีเวลาวิเคราะห์หุ้นและบริหารจัดการพอร์ตด้วยตนเอง เพียงเปิดบัญชีกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking เวียดนาม ก็ได้ผู้ช่วยอัจฉริยะ AI เฉพาะของ Jitta Wealth คัดกรองหุ้นเวียดนามพื้นฐานดีและราคาเหมาะสม ตามหลักการของปู่ Warren Buffett และคอยปรับพอร์ตให้อัตโนมัติทุกๆ 3 เดือน เพื่อผลตอบแทนระยะยาวชนะดัชนีตลาด เริ่มต้นลงทุน 3,000,000 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.jittawealth.com/jitta-ranking

อเมริกาเศรษฐกิจซบ แต่หุ้นเทคฯ โต

ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อ Covid-19 สูงที่สุดในโลก ส่งผลให้บางรัฐ บางพื้นที่ต้องมีการล็อกดาวน์ กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับเติบโตดีกว่าที่คาดไว้

นั่นเป็นเพราะ หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ กำลังขับเคลื่อนตลาดหุ้นอยู่ และเชื่อมั่นว่า หุ้นเทคฯ เหล่านี้จะสามารถเติบโตได้อีก ทั้งด้าน Market Cap และผลประกอบการ

แน่นอนว่า นักลงทุนทั่วโลกยังมั่นใจในหุ้นเทคฯ เพราะความคุ้นเคยกับสินค้าและบริการต่างๆ ของบริษัทเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่อย่าง Apple Google และ Microsoft ที่ทำให้นักลงทุนมองว่า บริษัทจะสร้างรายได้ที่แข็งแกร่งในอนาคต

นอกจากความคุ้นเคยในสินค้าและบริการ ตัวเจ้าของเทคฯ เองยังสร้าง Ecosystem การใช้งานเทคฯ ครบวงจร และผูกมัดการใช้งานไว้กับลูกค้า ดังนั้นฐานลูกค้าของบริษัทเทคฯ เหล่านี้จึงเหนียวแน่นมาก เพราะหากจะย้ายค่าย ย้ายบริการ ก็จะต้องเปลี่ยนบัญชีผู้ใช้งาน โอนย้ายข้อมูลต่างๆ หรือเริ่มต้นใช้งาน เก็บข้อมูลใหม่ไปเลย 

ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทเทคฯ เหล่านี้มีต้นทุนค่าโฆษณาและค่าแจกจ่ายสินค้าที่ต่ำกว่าธุรกิจดั้งเดิม บวกกับรายได้จากการสมัครเป็นสมาชิกเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการใช้บริการหรือได้บริการที่ดีขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงจุด ยิ่งทำให้หุ้นเทคฯ ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งทะยาน แบบโตไม่หยุดฉุดไม่อยู่

นอกจากนี้สภาพคล่องของตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นมีสูงมาก ด้วย Market Cap รวมมากที่สุดในโลก กินสัดส่วน Market Cap ตลาดหุ้นทั่วโลกถึง 60% ในความใหญ่นี้เอง ตลาดหุ้นสหรัฐสามารถรองรับการซื้อขายได้ทุกช่วงเวลา นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ทุกเมื่อ

ขณะที่ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ก็มีมาตรฐานการชี้แจ้งงบการเงินที่ดี สร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และนักลงทุนทั่วโลก

แต่ในความใหญ่นี้เอง ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีตัวเลือกที่หลากหลาย ทั้งหุ้น และหลักทรัพย์อื่นๆ อาจจะทำให้นักลงทุนไขว้เขวได้ กูรูในงานสัมนนาบอกว่า นักลงทุนควรลงทุนในหุ้นที่คุ้นเคยหรือรู้จักสินค้าหรือบริการเป็นอย่างดี

หากคุณไขว้เขวและเปลี่ยนหุ้นไปมาอาจจะทำให้นักลงทุนเสียทั้งโอกาสได้ผลตอบแทนเต็มเม็ดเต็มหน่วย และมีต้นทุนค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่สูงกว่าเดิมได้

นอกจากนี้คุณควรทำความเข้าใจภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วย เช่น ไม่มีข้อกำหนดราคา Ceiling และ Floor ป้องกันราคาหุ้นพุ่งขึ้นแรงหรือตกลงแรง ซึ่งเป็นความเสี่ยงให้นักลงทุน หากมีข่าวดีหรือไม่ดีออกมา เพราะเคยเกิดขึ้นมากแล้วกับหุ้น Twitter ที่ร่วงถึง 33%

ดังนั้นอารมณ์ของนักลงทุนต้องแข็งแกร่งและเป็นกลางพอ สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเน้นสร้างผลตอบแทนที่ดีให้พอร์ตลงทุนระยะยาว

คุณไม่ต้องเลือกว่าจะลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ตัวไหนบ้าง หรือจะลงทุนแค่หุ้นเทคโนโลยีดีหรือไม่ เพราะเมื่อคุณเปิดบัญชีกองทุนส่วนบุคคล Thematic คุณสามารถเลือกธีมลงทุนได้สูงสุดถึง 5 ธีมในพอร์ตเดียว ไม่ว่าจะเป็นธีมธุรกิจสหรัฐฯ ธีมเทคโนโลยี ธีม AI ธีมฟินเทค ธีม Cloud Computing และธีมที่น่าสนใจอื่นๆ อย่าง ธีมอีคอมเมิร์ซ ธีมอีสปอร์ต ธีมสุขภาพ ฯลฯ โดย Jitta Wealth จะจัดพอร์ตให้คุณลงทุนผ่านกองทุน ETF ที่มั่นคงและค่าธรรมเนียมต่ำ พร้อมจัดสัดส่วนและปรับพอร์ตให้อัตโนมัติด้วยเทคโนโลยี ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีเฉลี่ย 12-18% ต่อปี* เริ่มต้นลงทุน 100,000 บาท สนใจดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.jittawealth.com/thematic

จีน ตลาดหุ้นเบอร์สอง พร้อมผงาด

ใครที่อยากจะลองตลาดหุ้นมวยรองที่สามารถท้าชิงมวยหลักได้ ต้องลงทุนตลาดหุ้นจีน จากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนเติบโตอยู่ที่ 4.9% ถือว่าฟื้นตัวเร็วมากจากที่เป็นประเทศต้นกำเนิด Covid-19 

ตอนนี้รัฐบาลจีนได้มีการออกแผนยุทธศาสตร์ 5 ปีที่จะเน้นการเปิดตลาดมากขึ้น หวังให้เศรษฐกิจจีนเติบโตเฉลี่ย 3-4% ต่อปี 

นอกจากนี้ธนาคารกลางจีนจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนอยู่ในระดับที่สูงขึ้น เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนทั่วโลก

รัฐบาลจีนจะเน้นกระตุ้นการบริโภคมากขึ้น ผ่านแผนการ Dual Circulation เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ตั้งเป้าเป็นตลาดผู้บริโภคเบอร์หนึ่งของโลก กับประชากร 1,400 ล้านคน

เมื่อมีการบริโภคมากขึ้น การนำเข้าสินค้าก็จะมากขึ้นตามมา ส่งผลให้ค่าเงินหยวนจะมีบทบาทมากขึ้นในตลาดการเงินโลก คาดว่า จะทำให้สกุลเงินหยวนกลายเป็นสกุลเงินหลักของโลกได้ในอนาคต

ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีการสร้างอิทธิผลผ่านแผนยุทธศาสตร์ One Belt One Road หรือการก่อตั้งสถาบันการเงิน AIIB (Asian Infrastructure Investment Bank) ที่มารองรับการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่เข้ารวมโครงการ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมจากจีน มายังเมียนมาร์และลาว

คำกล่าวที่ว่า “US Innovate, China Imitate, Europe Regulate” (สหรัฐอเมริกาคิดค้น จีนทำตาม ยุโรปควบคุม) เป็นประโยคที่หลายๆ คนอาจเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง แต่หลังจากนี้ไป อาจจะเป็นคำกล่าวที่ล้าสมัยไปแล้ว 

เพราะตอนนี้ บริษัทจีนสามารถคิดค้นเทคโนโลยีได้เอง อาจจะกลายเป็นสหรัฐฯ ทำตาม ยุโรปควบคุม ก็เป็นไปได้ ซึ่งจะเห็นได้ชัดอย่าง Alipay และ WeChat Pay ที่เป็นผู้นำในการบริการโอนเงินออนไลน์ ทำให้จีนกลายเป็นตลาดผู้ใช้ฟินเทคอย่างสมบูรณ์ หรืออย่าง DJI ที่ถือครองตลาดโดรนมากถึง 2 ใน 3 สะท้อนศักยภาพบริษัทจีนในฐานะผู้นำเทคโนโลยีใหม่ๆ ของโลก

แต่ในความเป็นตลาดหุ้น Market Cap เบอร์สองของโลก ก็มีความเสี่ยงมากกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพราะ ก.ล.ต. จีนยังมีมาตรฐานการแจ้งงบการเงินที่เปิดเผยและชัดเจนน้อยกว่าสหรัฐฯ ทำให้ประเด็นความโปร่งใสและบรรษัทภิบาลยังมีความคลุมเครือ เป็นความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนต่างชาติ

ระบอบการปกครองที่เป็นคอมมิวนิสต์ทำให้ยากต่อการคาดการณ์ เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ดังนั้นนักลงทุนควรหมั่นติดตามข่าวสารและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจีนอย่างต่อเนื่อง

ไม่พลาดการเติบโตของตลาดหุ้นจีน ที่มาแรงพร้อมแย่งชิงอันดับ 1 ของโลก ด้วยบัญชีกองทุนส่วนบุคคล Thematic ที่ให้คุณลงทุนในธีมตลาดหุ้นจีน ผ่าน iShares MSCI China ETF ที่รวบรวมหุ้นประเทศจีนไว้แล้วถึง 85% ไม่ว่าจะเป็น Alibaba Tencent JD.com หรือ Xiaomi ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการวิเคราะห์หุ้นรายตัว นอกจากนี้คุณยังลงทุนร่วมกับธีมธุรกิจที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น ธีมธุรกิจสหรัฐฯ ธีมเทคโนโลยี ธีมอีคอมเมิร์ซ ธีมฟินเทค ธีมสุขภาพ ฯลฯ สูงสุดถึง 5 ธีมในพอร์ตเดียวเพื่อกระจายความเสี่ยงได้อีกด้วย โดย Jitta Wealth จะจัดสัดส่วนพอร์ตและดูแลปรับพอร์ตให้ด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติ ช่วยคุณลงทุนอย่างสบายใจ กำไรอย่างยั่งยืน ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีเฉลี่ย 12-18% ต่อปี* เริ่มต้นลงทุน 100,000 บาท สนใจดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.jittawealth.com/thematic

ลงทุนต่างประเทศกับ Jitta Wealth

นี่คือสรุปจากงานสัมมนา ‘ปรับทัพลงทุนหุ้น เวียดนาม-อเมริกา-จีน’ ที่เรารวบย่อมาให้คุณ อยากจะฝากทิ้งท้ายตรงนี้ว่า ทุกตลาดมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงสูงสุดคือ การลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจต่างหาก

หวังว่า จุดเด่นของแต่ละประเทศ ที่ยังมีโอกาสในการลงทุน จะทำให้คุณมีความสนใจในหลักทรัพย์ต่างประเทศมากขึ้น

หากคุณสนใจลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ และต้องการผู้ช่วยในการบริหารกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth มีบริการให้คุณสามารถลงทุนได้ทั้งเวียดนาม สหรัฐอเมริกา และจีน

Jitta Ranking บริการกองทุนส่วนบุคคลที่ให้คุณเลือกลงทุนได้ในตลาดหุ้นเวียดนาม และสหรัฐฯ หรือถ้าคุณคุณต้องการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี คุณก็เลือกได้ผ่าน Jitta Ranking – U.S. Tech โดยหุ้นที่ Jitta Wealth คัดมานั้น จะเป็น ‘หุ้นดีราคาเหมาะสม’ ที่ระบบ AI ของ Jitta Wealth วิเคราะห์และคัดกรองมาให้แล้วว่าน่าลงทุนที่สุดในตลาด เผื่อสร้างผลตอบแทนชนะดัชนีตลาดหุ้น สำหรับสหรัฐฯ ใช้เงินลงทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท ส่วนเวียดนามใช้เงินลงทุนเริ่มต้น 3 ล้านบาท

Thematic บริการกองทุนส่วนบุคคลที่ให้คุณสามารถเลือกลงทุนในกองทุน ETF ที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยคุณสามารถเลือกลงทุนทั้ง 2 ประเทศได้เลยในพอร์ตเดียว หรือจะเพิ่มกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ที่คุณมองว่ามีแนวโน้มเติบโตสูงเข้ามาด้วยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นธีมหุ้นเทคโนโลยี หุ้น Cloud Computing หุ้นอีคอมเมิร์ซ หุ้นฟินเทค หุ้นสุขภาพและการแพทย์ หุ้น AI และหุ่นยนต์ หุ้นเกมและอีสปอร์ต และหุ้นอินเดีย โดยคุณสามารถเลือกได้ถึง 5 ธีมในพอร์ตเดียว ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 100,000 บาท

สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.jittawealth.com