by Jitta
วันที่ 5 เม.ย. 2560 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 15 เม.ย. 2560
การลงทุนและการแทงบอล

ช่วงนี้กระแสบอลโลกกำลังมาแรง หลายๆคนก็คงรู้ดีกว่า ฟุตบอลและการพนันบอลมักเป็นของคู่กัน และอาจจะเคยเห็นหลายๆคนหมดตัวจากการพนันบอลหรือที่เรียกง่ายๆว่าแทงบอลกันมาแล้ว วันนี้ผมเลยขอมาพูดถึงเรื่องของตลาดหุ้นและการแทงบอลกันหน่อย เพราะทั้งสองอย่างนี้เหมือนกันตรงที่เป็น Zero Sum เกมก็คือ มีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย และคนที่เสียบ่อยๆก็จำเป็นจะต้องเลิกเล่นและออกจากเกมไปครับ

มาว่ากันที่ฝั่งแรก ที่เป็นคนเสียเงินก่อน

สาเหตุหลักๆแล้วก็มาจาก การรู้ข้อมูลเพียงแค่ผิวเผินแล้วตัดสินใจเอาเงินเข้าไปเสี่ยงครับ

ในการพนันบอลนั้น ข้อมูลที่คนส่วนมากรับรู้ก่อนแทงก็คือ ชื่อทีมที่จะแข่งกัน และ อัตราต่อรอง เช่น บราซิลแข่งกับชิลี โดยบราซิลต่อ 1 ลูก ดังนั้นถ้าหากว่าเราแทงบราซิล แล้ว บราซิลชนะตั้งแต่ 2 ประตูขึ้นไป เราได้เงิน บราซิลชนะ 1 ประตู เราไม่ได้ไม่เสีย แต่ถ้าบราซิลเสมอหรือแพ้ เราจะเสียเงินทันที

แต่ถ้าหากถามต่อว่าผู้เล่นของทั้ง 2 ทีมคือใครบ้าง เล่นตำแหน่งไหน แข่งกันที่ไหน กรรมการคือใคร สถิติการแข่งที่ผ่านมาบราซิลชนะกี่ครั้ง ครั้งละกี่ประตู น้อยคนนักที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้

รวมทั้งคนกลุ่มนี้ไม่เคยแม้แต่จะมานั่งคิดว่า แล้ว อัตราต่อรองที่เหมาะสมควรจะต้องเป็นเท่าไหร่ บราซิลมีโอกาสกี่เปอร์เซ็นต์ที่จะชนะชิลีมากกว่า 1 ลูกขึ้นไป (โอกาสที่เราจะไม่เสียเงิน) และด้วยเปอร์เซ็นต์เท่านั้น คุ้มไหมกับผลตอบแทนที่จะได้รับกลับมาเมื่อเทียบกับโอกาสที่จะเสียเงิน

ในตลาดหุ้นก็คล้ายๆกันครับ คนส่วนมากที่ขาดทุนจากตลาดหุ้นก็มักจะรู้แค่ชื่อหุ้นกับราคาหุ้นแค่นั้น แต่พอถามว่า บริษัทนี้ทำธุรกิจอะไร ยอดเยี่ยมแค่ไหน และ มีมูลค่าที่เหมาะสมเป็นเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถตอบได้ เมื่อตอบไม่ได้ ก็เท่ากับว่าไม่สามารถคำนวณความเสี่ยงและโอกาสในการทำกำไรได้เลย

สุดท้ายพอไม่มีข้อมูลอะไรมากมายให้มาใช้ตัดสินใจ เลยทำให้ต้องใช้อารมณ์ ความรู้สึกในการตัดสินใจแทน เช่น ชอบทีมบราซิลและ “คิดว่า” น่าจะ” ชนะชิลี 2 ประตูขึ้นไป หรือ ชอบหุ้น ABC และ “คิดว่า” ราคา “น่าจะ” ขึ้นไปเท่าตัว เป็นต้น หรือ ที่แย่กว่านั้นก็คือไม่แม้แต่จะคิดเดาเอาเอง แต่ แทงบราซิลเพราะ “เพื่อนบอกมา” ว่าจะชนะชิลี 2 ประตู หรือ ซื้อหุ้น ABC เพราะ “เพื่อนบอกมา” ว่าราคาจะขึ้นไปเท่าตัว

ทำแบบนี้ซ้ำไป ซ้ำมาหลายๆรอบ สุดท้ายเงินสดก็จะหดหาย จนต้องเลิกแทงบอลหรือเล่นหุ้นไปเองครับ

มามองที่อีกฝั่ง ซึ่งเป็นฝั่งที่ได้เงินกันบ้าง

กลุ่มนี้ก็คือ นักลงทุนที่ทำกำไรจากตลาดหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง และกลุ่มเจ้ามือรับพนันบอล (โต๊ะบอล) นั่นเอง ซึ่งจะมีสิ่งที่คล้ายกันดังนี้

  1. ทำการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด และ จะเล่นเมื่อมีโอกาสชนะสูงเท่านั้นสำหรับนักลงทุนก็คือ การวิเคราะห์คุณภาพและประเมินราคาของบริษัทที่เราต้องการลงทุนออกมา และลงทุนเมื่อมองเห็นแล้วว่า มีโอกาสที่จะขาดทุนน้อยมาก แม้จะขาดทุนจริงๆก็เป็นเงินไม่มาก ในขณะที่โอกาสที่จะกำไรมีเยอะมาก และเวลาได้กำไร ก็จะกำไรเยอะมาก

    ในแง่ของโต๊ะบอลนั้น ก็จะมีการวิเคราะห์ข้อมูลของทีมที่จะแข่งอย่างละเอียด และเปิดอัตราต่อรองมา เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ในระยะยาวแล้วจะได้กำไรเสมอๆไม่ว่าคนจะแทงทีมไหนครับ หรือ ก็คือ เลือกรับเงินแทงเฉพาะในอัตราต่อรองที่ตนเองกำหนดแล้วว่ามีโอกาสได้เงินสูงนั่นเอง

  2. ใช้เหตุผลในการตัดสินใจเท่านั้น ไม่ใช้อารมณ์

    นักลงทุนที่ดีนั้นไม่ยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น และไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นเลย แม้ว่าจะชอบบริษัท ABC สักแค่ไหน ถ้าหากราคาแพงเกินไป ก็ไม่มีทางเข้าไปลงทุนโดยเด็ดขาด การตัดสินใจทุกอย่างอยู่ที่ข้อมูลเพียงอย่างเดียวว่า สุดท้ายแล้วต้องได้ผลตอบแทนตามที่ต้องการเท่านั้นถึงจะเข้าไปลงทุน และเมื่อไหร่ที่ลงทุนไปแล้วแต่บริษัท ABC ไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็พร้อมที่จะขายออกทันที ไม่มีการคิดมาก

    แน่นอนว่าสำหรับโต๊ะบอลแล้ว ทุกอย่างเป็นธุรกิจ ไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเลย จะเชียร์ทีมไหนก็ไม่เกี่ยวกับการตั้งอัตราการต่อรอง ทุกอย่างเป็นไปตามสถิติทั้งหมด เพื่อให้ได้ผลกำไรสูงสุดในทุกคู่ที่รับแทง

  3. ติดตามผลและพร้อมปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์

    ในส่วนของนักลงทุนก็คือ การคอยติดตามดูว่าหลังจากลงทุนไปแล้ว ก็คอยติดตามข่าวสาร อ่านงบการเงินบริษัท เพื่อดูว่าบริษัทนั้นดีขึ้นหรือแย่ลง มูลค่ามากขึ้นหรือลดลง เพื่อจะได้นำมาเป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่าจะซื้อเพิ่มหรือขายดี

    สำหรับโต๊ะบอลนั้น เมื่อเปิดอัตราต่อรองและเริ่มรับแทงแล้ว ก็จะคอยติดตามดูจำนวนเงินที่มีการแทงมาในแต่ละฝั่งอยู่ตลอด และพร้อมที่จะปรับอัตราต่อรองเสมอถ้าเห็นท่าไม่ดี เช่น เมื่อมีคนแทงบราซิลเยอะมากเกินไป ก็อาจจะเพิ่มอัตราต่อรอง จากบราซิลต่อ 1 ลูก เพิ่มเป็นต่อ 2 ลูกแทน เพื่อให้มีตนเองมีโอกาสชนะสูงขึ้น

  4. มีการบริหารและกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

    การลงทุนที่ดีต้องมีการบริหารและกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ซึ่งนักลงทุนก็จะต้องมีการปรับสัดส่วนหุ้นในพอร์ตตนเองอยู่เรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เงินลงทุนนั้น กระจุกอยู่ที่หุ้นตัวใดตัวหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเป็นพิเศษ (เกิน 50% ของเงินลงทุนทั้งหมด) และก็ไม่ให้ลงทุนในหุ้นจำนวนมากเกินไปเพราะจะทำให้ผลตอบแทนโดยรวมลดลง

    ส่วนของโต๊ะบอลนั้น ในแต่ละคืนก็จะมีการรับแทงหลายคู่ ดังนั้นต่อให้บางคู่จะเสียเงิน แต่โดยรวมแล้วทั้งคืนมักจะได้กำไรครับ รวมทั้งจะไม่ค่อยรับความเสี่ยงสูงๆเอาไว้เองเท่าไหร่ ถ้าเห็นว่าตัวเองรับแทงบราซิลได้แค่ 1 ล้านบาทเท่านั้น เมื่อมีคนมาแทง 10 ล้าน ก็อาจจะรับไว้และส่ง 9 ล้านที่เหลือไปโต๊ะอื่นต่อ รอจนกระทั่งเริ่มมีเงินมากขึ้นจึงค่อยรับแทงมากขึ้น

จะเห็นว่าผมเขียนสาเหตุหลักที่ทำให้คนขาดทุนแค่ข้อเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับข้อ 1 นั่นก็เพราะว่า ถ้าหากเราไม่สามารถวิเคราะห์คุณภาพและมูลค่าของกิจการได้ดีแล้ว เราก็ไม่มีทางทำข้อ 2,3,4 ให้ถูกต้องได้เลยครับ
ดังนั้นลองกลับไปคิดดูนะครับว่า ปัจจุบันที่เรากำลังซื้อขายหุ้นอยู่นั้น เราเป็นเหมือนฝ่ายนักพนันบอลที่นานไปจะหมดตัว หรือ เป็นฝ่ายโต๊ะบอลที่รับทรัพย์อยู่ทุกคืน กันแน่ครับ