สัปดาห์ก่อนมีบางคนบอกว่าหุ้นจะตกเพราะ Bangkok Shutdown แต่พอปิดจริงๆเมื่อวานนี้และวันนี้ปรากฏว่าหุ้นดันขึ้น นี่มันอะไรกัน?
จริงๆแล้วสิ่งที่ตลาดหุ้นไม่ชอบมากที่สุดคือ ความไม่แน่นอนครับ เพราะจะทำให้คนคิดไปคนละทางได้ และนักลงทุนจะลดความเสี่ยงในการลงทุนโดยสัญชาตญาณ คนที่มีหุ้นก็อาจจะขายหุ้นออกมา คนที่มีเงินสดก็จะไม่ลงทุนในหุ้น จนกว่าความไม่แน่นอนนั้นจะหมดไป ทำให้ตลาดหุ้นขาดเงินที่จะช่วยดันให้หุ้นขึ้นไปได้ไกลๆ
เหมือนที่เคยมีคนอุปมาอุปไมยว่า ถ้ามีแววว่าจะเกิดสงคราม หุ้นจะตก จนเมื่อไหร่ที่เริ่มยิงกันแล้วหุ้นจะขึ้น เนื่องจากความไม่ชัดเจนหมดไปแล้ว เมื่อสงครามเกิดแล้ว เดี๋ยวก็ต้องมีวันจบนั่นเอง และตลาดหุ้นก็จะกลับมาครับ
และอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้หุ้นขึ้นก็คือ ตั้งแต่อาทิตย์หน้าก็จะเริ่มเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการบริษัทแล้ว (บริษัทจะต้องประกาศผลประกอบการบริษัทภายใน 45 วันนับจากวันปิดงบ) ดังนั้นคนก็เลยเริ่มกลับมาเก็งกำไรบริษัทที่คาดว่าผลประกอบการจะดีในตลาดหุ้นกันครับ
ฟังดูก็เป็นเหตุผลที่เข้าท่านะครับ แต่ความจริงก็คือ อย่าพยายามไปหาเหตุผลอะไรมาก และอย่าพยายามไปคาดเดาการขึ้นลงของตลาดหุ้นในช่วงสั้นๆจะดีที่สุดครับ เพราะว่า
- แม้เหตุผลข้างบนจะใช้อธิบายได้ดี แต่หลายๆครั้งก็ไม่เป็นแบบนี้ครับ ดังนั้นมันก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไปที่ พอสงครามเกิดแล้ว หุ้นจะขึ้น หรือ พอใกล้วันประกาศผลประกอบการหุ้นจะขึ้น
- แม้เหตุผลข้างบนจะใช้ได้จริงๆก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถคาดการณ์ต่อเนื่องได้ว่า แล้วเมื่อหุ้นขึ้นจริงๆ จะขึ้นไปอีกแค่ไหน อาจจะขึ้นไปอีก 3 วัน แล้วตกรวดเดียวอีก 3 เดือนก็ได้
การคาดเดาตลาดหุ้นในช่วงสั้นให้ถูกต้องนั้นยากมากครับ เพราะมีปัจจัยมหภาคทางเศรษฐกิจและการเมืองหลายอย่าง รวมทั้งต้องเดาความคิดของคนจำนวนมหาศาลในตลาดหุ้นให้ออก ซึ่งถ้ามีใครที่บอกว่าเค้าทำนายได้ถูกต้องเสมอ ให้เดาได้เลยว่าคนนั้นพูดโกหกอยู่ครับ
และการเดาถูกว่าหุ้นขึ้น 1-2 ครั้ง ก็ไม่ได้ช่วยให้เราทำกำไรอะไรได้มากมายอยู่ดี เพราะโดยระยะยาวแล้ว ถ้าเราลงทุนจากการเดามากเท่าไหร่ เรามีโอกาสหมดตัวเร็วมากขึ้นเท่านั้นครับ
ดังนั้นวิธีที่นักลงทุนจริงๆควรทำอย่างสม่ำเสมอมากกว่าการคาดเดาตลาดหุ้นคือ การศึกษาและติดตามบริษัทที่ดี และรอจังหวะที่ตลาดหุ้นมอบโอกาสการลงทุนที่ดีมาให้ ก็ค่อยลงทุน และอย่าไปคิดมากหรืออย่าไปคาดเดาว่า รออีกนิดหุ้นน่าจะตกมากกว่านี้ เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครเดาได้ถูกต้องครับ และการคิดแบบนี้จะทำให้การลงทุนของเราปั่นป่วนและเราจะเสียสุขภาพจิตของตัวเองเปล่าๆครับ
ถ้าเราเจอบริษัทที่ดีในราคาที่เหมาะสมแล้ว ไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นยังไงก็สามารถลงทุนได้ตลอดเวลาครับ ลองคิดดูง่ายๆครับว่า
- ถ้าหากเราเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ขายดีอยู่ แล้วอยู่ๆมี Bangkok Shutdown เราจะปิดร้านหรือขายร้านอาหารของเราให้คนอื่นไปเลยหรือเปล่าครับถ้าหากว่าคำตอบคือ ไม่ การลงทุนในตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน การเกิด Bangkok Shutdown ไม่ใช่เหตุผลที่เราควรจะขายหุ้นในบริษัทที่ดีของเราออกไป
- ถ้าหากมีคนมาขายร้านอาหารที่มีคนแน่นตลอด กำไรดี ในราคาที่สมเหตุสมผลให้เรา พออยู่ๆเกิด Bangkok Shutdown เราจะเลิกซื้อร้านอาหารนั้นหรือเปล่า ถ้าเราไปดูแล้วก็เห็นว่าคนก็ยังเข้าไปกินที่ร้านอยู่ตลอดถ้าหากว่าคำตอบคือ ไม่ การลงทุนในตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน การเกิด Bangkok Shutdown ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เราหยุดลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดีครับ
สิ่งที่สำคัญคือ สติและเป้าหมายของเราครับ ถ้าเรารู้แล้วว่า เราซื้อกิจการที่ดีในราคาที่เราพอใจแล้ว หลังจากซื้อแล้วราคาจะลดลงอีกบ้างก็ไม่เป็นปัญหาครับ เพราะสุดท้ายแล้วกิจการที่ดีจะทำให้เรามั่งคั่งได้ในระยะยาวครับ
อย่าลืมว่าหลังจากที่ Warren Buffett ซื้อหุ้น Washington Post แล้ว ราคาหุ้นตกลงมาอีก 25% ภายในเวลาปีกว่าๆ แต่หลังจากนั้นเงิน $10 ล้านที่ซื้อหุ้น WPC ไป ก็กลายเป็นกว่า $1 พันล้านในอีก 30 ปีต่อมาครับ
มีสติแล้วจะมีสตังค์นะครับ