ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา พวกเรายังคงต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19 รอบใหม่ยังไม่คลี่คลาย
นั่นหมายความว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ พวกเรายังต้องเผชิญกับวิกฤตในประเทศอีกครั้ง
ไม่ว่า วิกฤตจะอยู่นานขนาดไหน เศรษฐกิจโลกจะทรุดยาวแค่ไหน มันจะมีโอกาสลงทุนดีๆ ซ่อนอยู่ในนั้น ถ้าคุณหามันเจอ…พอร์ตคุณที่เติบโตได้
สัปดาห์นี้เราจะอัปเดตสถานการณ์ Covid-19 ในไทยและทั่วโลก ความคืบหน้าของวัคซีนรายอื่นๆ และโอกาสลงทุนในหุ้นธุรกิจอนาคต อย่างเมกะเทรนด์ต่างๆ ที่มีโอกาสเติบโตท้าทายวิกฤตกัน
ผู้ติดเชื้อในไทย ลุ้นทำ New High ทุกวัน
ตัวเลขผู้ป่วย Covid-19 ในไทยล่าสุด ที่รายงานเมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา ยังทำ New High ต่อเนื่องเลยครับ 745 คน เดินทางมาจากต่างประเทศเข้า State Quarantine แค่ 16 คน ที่เหลือเป็นการติดเชื้อในประเทศ
นับตั้งแต่เกิดการระบาดคลัสเตอร์ใหญ่ที่ตลาดกลางกุ้ง หลายฝ่ายคาดหวังว่า สถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากวันหยุดยาว แต่พวกเรายับยั้งการแพร่ระบาดไม่ได้เลย
นับถึง 4 ม.ค. มีผู้ติดเชื้อสะสมจากการระบาดรอบใหม่ รวม 4,183 คน เสียชีวิตแล้ว 5 คน พื้นที่ที่มีผู้ป่วยรวม 54 จังหวัด
ทำให้รัฐบาลต้องประกาศใช้พรก.ฉุกเฉิน และกำหนดพื้นที่ควบคุมเพื่อยับยั้งการระบาด โดยมีพื้นที่ควบคุมสูงสุด (แดง) 28 จังหวัด รวมกรุงเทพฯ และปริมณฑลด้วย
และขอความร่วมมือจากภาคเอกชน กำหนดเวลาทำการในแต่ละสถานที่ อย่างห้างสรรพสินค้าจะปิด 21:00 น. ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในการออกมาตรการ สั่งปิดพื้นที่ที่มีการระบาดสูง หรือกำหนดเวลาเคอร์ฟิว 23:00-5:00 น.
ถึงแม้รัฐบาลจะบอกว่า ไม่มีการล็อกดาวน์เหมือนกับรอบแรก แต่มาตรการเหล่านี้เรียกได้ว่า…เกือบจะล็อกดาวน์แล้ว
การระบาดรอบนี้ เป็นตัวเร่งให้รัฐบาลไทยต้องนำเข้าวัคซีนป้องกัน โดยยืนยันว่าภายใน 1-2 เดือนนี้จะใช้วัคซีนของ Sinovac Biotech จากจีน จำนวน 2 ล้านโดส
นอกจากนี้ยังมีการเจรจากับ AstraZeneca ทำสัญญาแล้ว 26 ล้านโดส จะผลิตออกมาในปลายเดือนพ.ค. และยังมีวัคซีนจาก Covax ภายใต้การสนับสนุนขององค์การอนามัยโลก
ตลาดหุ้นไทย เปิดทำการวันแรกของปี 2564 ปิดที่ 1,468.24 จุด ปรับขึ้น 18.89 จุด (+1.30%) และมีมูลค่าการซื้อขาย 89,208.19 ล้านบาท สอดคล้องกับภูมิภาคทั้งยุโรป รวมถึงดัชนีดาวน์โจนส์ฟิวเจอร์สที่เคลื่อนไหวในแดนบวกเช่นกัน
ทั่วโลกยังระทมกับ Covid-19
รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงโตเกียวและจังหวัดใกล้เคียง หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นยังหวังที่จะจัด Tokyo Olympics ในช่วงฤดูร้อนของปีนี้ หลังจากที่เลื่อนมาจากกำหนดการเดิมจากปี 2563
ญี่ปุ่นมีจำนวนผู้ป่วยรวม 245,000 คน และมีผู้เสียชีวิต 3,600 คน
ด้านอินโดนีเซียจะเริ่มแผนการฉีดวัคซีนเป็นการทั่วไปในสัปดาห์หน้า โดย 714,000 โดสได้มาจาก Sinovac Biotech กระจายไปแล้ว 32 จังหวัด
ขณะนี้อินโดนีเซียเตรียมการซื้อวัคซีนป้องกัน Covid-19 จำนวน 329 ล้านโดส จาก Pfizer ร่วมมือกับ BioNTech และ AstraZeneca
ทำให้รัฐบาลอินโดนีเซียใช้งบประมาณในการจัดหาวัคซีนกว่า 5,330 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มาที่ฝั่งยุโรป ฝรั่งเศสพยายามเร่งมือฉีดวัคซีน Covid-19 ให้ประชาชน หลังจากพบว่า กระบวนการจากทางฝั่งรัฐบาลยังมีความช้า เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่น เยอรมัน และสหราชอาณาจักร
ฝรั่งเศสได้ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอายุมากกว่า 50 ปี ในบ้านพักคนชราไปแค่ 516 ช็อตเท่านั้น
โดยนักระบาดวิทยามองว่า ฝรั่งเศสดำเนินการช้ากว่าแผนที่วางไว้ ภายในสิ้นเดือนมี.ค. ควรจะต้องฉีดวัคซีนไปแล้ว 5-10 ล้านคน
ไวรัส Covid-19 กลายพันธุ์ในสหราชอาณาจักรยังทวีความรุนแรงต่อเนื่อง รัฐมนตรีด้านสาธารณสุข เสนอให้มีล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดในบางพื้นที่ของประเทศ เพื่อที่จะควบคุมการแพร่ระบาด
เพราะในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยในอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะไวรัสที่กลายพันธุ์สามารถติดจากคนสู่คนได้ง่าย และมีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรมีรายงานผู้ป่วยใหม่ 55,000 ราย นับจากการแพร่ระบาด Covid-19 มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 75,000 คน สูงเป็นอันดับ 2 ในยุโรป
นักลงทุนจะรับมือวิกฤตที่ยังไม่ถึงจุดจบได้อย่างไร
แม้ว่าการระบาดรอบใหม่จะเกิดขึ้นได้เสมอ แต่เรายังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อย่างวัคซีนป้องกัน Covid-19 จะสร้างจุดเปลี่ยนให้วิกฤตรอบนี้ได้อย่างไร
แต่เราก็ผ่านวิกฤตรอบแรกมาแล้ว และได้เห็นว่า เมื่อตลาดหุ้นลดฮวบฮาบทั่วโลกมาแล้ว ก็ยังสามารถรีบาวด์กลับได้
ขณะเดียวกัน เราก็ได้เห็นว่า มีทั้งธุรกิจที่ได้ผลกระทบโดยตรงจาก Covid-19 และมีธุรกิจที่ได้ ‘ส้มหล่น’ จากวิกฤตนี้
นั่นก็คือ ธุรกิจเมกะเทรนด์ต่างๆ ที่ยังสามารถยืนหยัด ท่ามกลางกระแสเชี่ยวกรากของ Covid-19 เพราะธุรกิจเหล่านี้ตอบโจทย์วิถีชีวิตแบบ New Normal และ Social Distancing
แน่นอนว่า ธุรกิจเหล่านี้ล้วนพึ่งพาการใช้เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตทั้งสิ้น
ยุทธศาสตร์การลงทุนในวิกฤติ Covid-19
คุณตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO ของ Jitta Wealth และได้มีโอกาสได้พูดคุยใน Live กับคุณสุทธิชัย หยุ่น เช้าวันที่ 4 ม.ค. ครับ
ได้พูดถึงเมกะเทรนด์ที่น่าสนใจ อย่าง Cloud E-commerce FinTech และ E-sport ซึ่งมีการเติบโตทั้งด้านราคาหุ้นและผลประกอบการในปีที่ผ่านมา คาดว่า ปี 2564 เทรนด์การลงทุนจะไม่หลุดจากธุรกิจเหล่านี้
ดูวิดีโอ Facebook: Suthichai Yoon
ดูวิดีโอ Youtube: Suthichai Live
15 กองทุนที่ขึ้นแรงในปี 2563
คุณเนยจาก Stock Journoey ได้ทำการจัดอันดับกองทุนรวม และกองทุน ETF ที่มีผลตอบแทนตลอดทั้งปีสูงสุด โดย 5 ใน 15 อันดับนั้น เป็น ETF ที่ Jitta Wealth Thematic เลือกจัดพอร์ตให้คุณครับ มีอะไรบ้างอ่านต่อได้ในโพสต์
จับตาข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ในช่วงก่อนปีใหม่ ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้ระบุว่า จะเอาบริษัทสัญชาติจีนออกจากกระดาน NYSE ในช่วงวันที่ 7-11 ม.ค. โดย 3 บริษัทนั้นคือ China Mobile China Telecom และ China Unicom
โดยเป็นการทำตามคำตัดสินของสหรัฐฯ ที่จะนำบริษัทสัญชาติจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีน ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ
รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เลือกมาแล้ว 31 บริษัท รวม 3 บริษัทเทเลคอมของจีน ที่จะประเดิมออกจากกระดาน NYSE เร็วๆ นี้ด้วย
เปิดตลาดวันแรกหุ้น 3 บริษัทเทเลคอมที่เทรดอยู่ในตลาดหุ้นฮ่องกงปรับลดลงทันที
แต่ก็มีนักวิเคราะห์มองว่า รัฐบาลจีนจะยังไม่ตอบโต้มาตรการถอดหุ้นบริษัทสัญชาติจีนออกจาก NYSE เพราะเชื่อว่า จีนจะรอให้ Joe Biden ประธานาธิบดีคนใหม่เข้าดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค. นี้
ข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯ และจีนเกิดขึ้น เพราะ Donald Trump ดังนั้นเมื่อตำแหน่งประธานาธิบดีกำลังเปลี่ยนมือ นั่นหมายความว่า โอกาสที่ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 มหาอำนาจโลกจะดีขึ้น มีความเป็นไปได้สูงมาก
ยังคงต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวต่อ เพราะไม่ว่าสหรัฐฯ จะมีมาตรการอะไรออกมา ล้วนสร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกได้
ขณะที่จีนมีเศรษฐกิจที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และเป็นมหาอำนาจเบอร์ 2 ได้อย่างมั่นคง คงต้องมาตามต่อว่า ตลาดหุ้นจีน บริษัทเทคโนโลยีของจีน จะพัฒนาและไปต่อได้ไกลแค่ไหน
ดังนั้นยังคงต้องจับตาความเคลื่อนไหวระหว่าง 2 มหาอำนาจอย่างใกล้ชิด
[Promo]
Joe Biden กำลังจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ในอีกไม่ถึงเดือน ส่งสัญญาณว่าความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาจจะดีขึ้นในอนาคต
และอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศพลิกกลับมาเติบโตคู่กันไป ในฐานะเบอร์ 1 และเบอร์ 2 ของโลก
คุณสามารถลงทุนในโอกาสเติบโตของทั้งสองประเทศนี้กับ Jitta Wealth ได้
โดยเลือกระหว่างนโยบายลงทุน Jitta Ranking – U.S. กับ Jitta Ranking – U.S. Tech ที่เป็นการลงทุนแนวเน้นคุณค่าในหุ้นของบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม ประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มต้นลงทุน 1 ล้านบาท
หรือจะเลือกลงทุน ETF ธีมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นจีน และหุ้นบริษัทเทคโนโลยีจีน ในพอร์ต Thematic ก็ได้เช่นเดียวกัน เริ่มต้นลงทุน 1 แสนบาท
หากมีข้อสงสัย ติดต่อสอบถามได้ที่เว็บไซต์ Jitta Wealth หรือ Facebook: Jitta Wealth และ Line: @JittaWealth
ทุกวิกฤตเป็นโอกาสให้คุณเสมอ ในโลกของการลงทุน อยู่ที่ว่า คุณจะใช้จังหวะวิกฤตนี้อย่างไร สินทรัพย์ไหนที่เป็นโอกาส ธุรกิจไหนที่ยังเติบโตได้
ขอให้ปี 2564 นี้ เป็นโอกาสทอง สำหรับนักลงทุนไทยทุกคน