ในช่วงต้นปี สิ่งที่นักลงทุนควรจะต้องทำก็คือ การวัดผลการลงทุนในปีที่ผ่านมา ว่าดีร้ายอย่างไร ได้ตามเป้าหมายหรือเปล่า และเรียนรู้จากความผิดพลาดในปีที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถลงทุนได้ดีขึ้นในปีต่อไป
สำหรับผมเอง วันนี้ตื่นเช้ามาก็เริ่มต้นด้วยการอัพเดทผลตอบแทนการลงทุนในปีที่ผ่านมาเช่นกัน (เพราะตลาด US เพิ่งปิดไปเมื่อคืน) แล้วก็ได้นั่งไล่ดูประวัติการลงทุนเก่าๆ ซึ่งก็มีทั้งการลงทุนที่ดีและไม่ดี แต่มีสิ่งนึงที่น่าสนใจนำมาเล่าให้ทุกคนฟัง เพื่อเป็นความรู้ และ ของขวัญปีใหม่จากผมครับ
การลงทุนระยะยาวนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ยากมากกว่ากิจกรรมอื่นๆก็คือ กว่าเราจะได้รู้ว่าเราตัดสินใจถูกหรือผิดนั้น บางทีต้องใช้เวลาที่นานมากเพื่อพิสูจน์ และบางครั้งการตัดสินใจที่ดูเหมือนจะถูก (ผิด) ในระยะสั้น อาจจะผิด (ถูก) ในระยะยาวก็ได้
วันนี้ผมก็ขอยกตัวอย่าง 2 ความผิดพลาดในการลงทุนของผม (จากความผิดพลาดเยอะแยะมากมาย) ซึ่งอันนึงได้กำไร อีกอันนึงขาดทุน อันนึงผมดีใจ อันนึงผมเสียใจ ที่เรื่องนี้น่าสนใจก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป จนถึงวันนี้ หุ้นที่กำไร กลับทำให้ผมเสียใจ และ หุ้นที่ผมขาดทุน กลับทำให้ผมรู้สึกดีใจ ครับ
1. หุ้นที่ได้กำไร แต่ กลับทำให้เสียใจ
เมื่อราวๆกลางปี 2010 ผมได้ลงทุนในหุ้น MNST (สมัยซื้อยังใช้ชื่อย่อว่า HANS อยู่เลย) ซึ่งเป็นบริษัทขาย Energy Drink ที่ว่ากันว่า เป็นคู่แข่งกับ Red Bulls ในอเมริกานั่นเลย
ซึ่งเมื่อมองด้วยตัวเลขทางการเงินในอดีตที่ผ่านมาแล้วก็เป็นบริษัทที่ดีมาก และเมื่อมองดูคุณภาพของตัวธุรกิจเองก็ยอดเยี่ยมมาก และ มีอนาคตที่จะเติบโตได้อีกเยอะ
https://www.jitta.com/stock/mnst
ผมซื้อหุ้นนี้ช่วงเดือนพฤษภาคมในราคาหุ้นละ $17.63 จากนั้นก็ขายไปในเดือนพฤศจิกายนในราคาหุ้นละ $24.7 ได้กำไรประมาณ 40.1%
ในตอนที่ผมขายนั้นก็เห็นว่ากำไรในปีนั้นไม่ค่อยเติบโต และราคาก็สูงกว่า fair price ประมาณ 30% แล้ว ทุกอย่างก็แลดูเป็นการตัดสินใจที่ดี
แต่หลังจากนั้นกิจการก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับราคาหุ้นที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนปีนี้ Coca Cola ก็ให้ความสนใจและซื้อหุ้น MNST ไป 16.7% ทำให้ราคาหุ้นปัจจุบันขึ้นไปอยู่ที่ $108.35 ครับ ซึ่งถ้าหากผมถืออยู่มาจนปัจจุบันก็จะได้กำไรราวๆ 500% ครับ
ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว แม้การลงทุนใน MNST ของผมจะได้กำไรระยะสั้นที่สวยงามมาก แต่ผมก็มองว่าเป็นความผิดพลาดของผมที่ปล่อยให้ธุรกิจดีๆหลุดมือเร็วไปหน่อย และผมก็ได้แต่เฝ้ามองราคาหุ้น MNST สูงขึ้นเรื่อยๆทุกปี และแน่นอนว่าต่อให้ราคาหุ้น MNST ตกมาอยู่ที่ fair price ตอนนี้ก็ยังคงสูงกว่าราคาที่ผมขายออกไปอยู่ดีครับดังนั้นก็เลยทำให้ผมเข้าใจคำพูดของ Warren Buffett ที่ว่า
ถ้าเราได้ลงทุนในธุรกิจที่ดี ที่มาพร้อมกับผู้บริหารที่ยอดเยี่ยมแล้ว ระยะเวลาในการถือหุ้นของเราคือ ตลอดไป
– Warren Buffett
อย่างชัดเจนครับเพราะธุรกิจที่ยอดเยี่ยมมีน้อยมาก ถ้าหากเราได้มีโอกาสเป็นเจ้าของแล้ว พยายามอย่าให้หลุดมือไปนะครับ เพราะในระยะยาวแล้ว การถือหุ้นบริษัทที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ไว้ จะช่วยให้ผลตอบแทนของเราชนะตลาดแน่นอนครับ
2. หุ้นที่ขาดทุน แต่กลับทำให้ดีใจ
เมื่อราวๆต้นปี 2011 ผมได้ลงทุนในหุ้น ARO ที่ทำธุรกิจด้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นที่จับกลุ่ม middle to low เป็นแบรนด์ที่วัยรุ่นอเมริกาชอบกันอยู่ช่วงนึง เพราะออกแบบคล้ายกับ American Eagle และ Abercrombie แต่ว่าราคาถูกกว่าพอสมควร
https://www.jitta.com/stock/aro
เมื่อมองดูตัวเลขทางการเงินย้อนหลังแล้ว ก็พบว่ายอดเยี่ยมมาก มองมุมไหนก็ดีไปหมด ผมก็เลยลงทุนไปในเดือนมกราคมในราคาหุ้นละ $25.13
หลังจากนั้นพองบ Q1 ออกมา ทุกอย่างก็ดูแย่ สินค้าเริ่มขายไม่ได้ ต้องลดราคาครั้งใหญ่ ทำให้ operating margin ที่เคยสูงถึง 16% ลดลงเหลือแค่ 5% และกำไรไตรมาส 1 ลดลงจาก $0.48 เหลือ $0.2 (เนื่องจากงบของ ARO มี fiscal year ไม่ตรงกับ calendar year นะครับ ดังนั้นในปี 2011 ต้องดูงบของปี 2012 แทนครับ)
ผมมาตัดสินใจขายไปตอนต้นเดือนสิงหาคมที่ราคาหุ้นละ $13.4 หลังจากที่งบ Q1 ออกมาแล้ว 2 เดือน เพราะได้อ่านข้อมูลต่างๆแล้ว เริ่มรู้สึกว่า ไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า สินค้าของ ARO จะกลับมาขายดีอีกไหม และจะกลับมาได้ด้วยกลยุทธ์อะไร
ซึ่งก็ทำให้ขาดทุนไปอย่างหนักครับ -46.67% เมื่อขายไปแล้วราคาหุ้นก็ตกลงไปแถวๆ $10 และค่อยๆวิ่งกลับขึ้นมาที่ $23 แต่ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกคิดมากหรืออะไร เพราะเมื่อลองดูงบไตรมาสที่ออกตามมาอีก ธุรกิจก็ดูแย่ลงเรื่อยๆ ก็คิดว่า ถ้าเราไม่เข้าใจว่าราคาหุ้นขึ้นได้ยังไง ก็ต้องปล่อยวางครับ
วันนี้มาลองดูราคาหุ้นอีกที ก็พบว่าอยู่ที่ $2.32 มี Jitta Score อยูที่ 1.68 และ Jitta Line เป็นศูนย์ ซึ่งถ้าวันนั้นไม่สามารถตัดใจขายหุ้นได้ ตอนนี้ราคาหุ้นลดลงมาราวๆ 10 เท่า หรือจะขาดทุนถึง 90% เลยทีเดียวครับ
ซึ่งก็เลยทำให้รู้สึกดีใจ แม้ว่าจะขาดทุน เพราะเราตัดสินใจได้ถูกต้องตามหลักการแล้วนั่นเอง รวมทั้งการขาดทุนครั้งนั้นทำให้ผมได้เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับธุรกิจแฟชั่นด้วยว่า สำหรับสินค้าแบรนด์แฟชั่นของคนหมู่มาก (middle to low position) ที่ไม่ต้องซื้อซ้ำบ่อยมาก ถ้าไม่สามารถตามเทรนด์และออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆได้เร็วพอ จะเกิดความเสี่ยงในการอิ่มตัวได้ และ เมื่อนั้นก็ยากที่จะแก้ไข เพราะถ้าจุดเด่นหลักๆ คือ ราคาสินค้าที่ถูกกว่าคู่แข่ง ดังนั้นเพื่อให้ขายได้ก็จำเป็นต้องลดราคาไปเรื่อยๆครับ ธุรกิจก็ยากที่จะอยู่รอดได้ในระยะยาว
จากตัวอย่างความผิดพลาด 2 ครั้งที่ผมได้ยกขึ้นมา คงจะทำให้ทุกคนพอเป็นภาพการลงทุนมากขึ้นนะครับว่า ถ้าหากเราตั้งใจที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาวแล้ว ควรจะต้องมองภาพการลงทุนในระยะยาวด้วย และ หมั่นคอยตรวจสอบการลงทุนในระยะยาวด้วยเสมอ เพราะจะทำให้เรามองเห็นภาพตามสิ่งที่ควรจะเป็นจริงๆครับ
และอย่าปล่อยให้ตนเองหวั่นไหวกับ กำไร-ขาดทุน ในระยะสั้นมากเกินไป เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ราคาหุ้นในระยะสั้นได้ครับ ดังนั้นถ้าหากเราเข้าใจภาพรวมของการลงทุน และ ลงทุนตามหลักการที่ดีไปเรื่อยๆแล้ว การสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากเย็นเลยครับ