by Monsicha Hoonsuwan
วันที่ 18 ต.ค. 2563 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 12 ม.ค. 2566
สรุป Live: เปิดกลวิธีเอาตัวรอด ลงทุนรับเมกะเทรนด์

ไฮไลท์

1. หุ้นไทยยังมีโอกาสเติบโต แต่คงไม่สูงเหมือนเดิม เพราะขาดอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เป็นกำลังหลักในการขยายเศรษฐกิจอย่างในประเทศสหรัฐอเมริกา และจีน ทำให้ตลาดหุ้นต่างประเทศน่าดึงดูดมากสำหรับนักลงทุนไทยเวลานี้

2. หุ้นเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในหุ้นที่เติบโตได้ดีที่สุดในช่วงวิกฤต Covid-19 ทำให้นักลงทุนต้องการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีก็ยังต้องคำนึงถึงพื้นฐานของธุรกิจ โอกาสในการเติบโต และราคาที่เหมาะสมด้วย ซึ่งกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking – U.S. Tech จะใช้เทคโนโลยี Jitta Ranking ในการวิเคราะห์หาหุ้นเทคโนโลยีที่น่าลงทุนมากที่สุด และบริหารจัดการพอร์ตให้ด้วยระบบอัตโนมัติ ปรับพอร์ตทุกๆ 3 เดือน ทำให้สร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ในระยะยาว โดยผลตอบแทนย้อนหลัง (back test) 3 ปี ล่าสุด เฉลี่ย 30% ต่อปี และ 10 ปีย้อนหลังแสดงให้เห็นว่าสามารถเอาชนะดัชนี S&P500 และ NASDAQ

3. สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพียงกลุ่มเดียว ก็สามารถเลือกลงทุนในกลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์หลายๆ กลุ่มร่วมกันได้ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนรายอุตสาหกรรม โดยกองทุนส่วนบุคคล Thematic ใหม่ จาก Jitta Wealth ให้นักลงทุนเลือกกลุ่มเมกะเทรนด์ที่ต้องการได้ถึง 5 ธีมในพอร์ตเดียว หลังจากนั้น Jitta Wealth จะคัดเลือกกองทุน ETF ที่ดีที่สุดเป็นตัวแทนแต่ละธีมเพื่อลงทุน และปรับพอร์ตให้นักลงทุนแบบอัตโนมัติ ซึ่งผลตอบแทนย้อนหลังของการลงทุน 4 ธีม ในระยะเวลา 3 ปี อยู่ระหว่าง 12-18% ต่อปี

4. สำหรับนักลงทุนที่มองว่า การลงทุนเพียงแค่บางกลุ่มอุตสาหกรรมทำให้พอร์ตมีความเสี่ยงมากเกินไป ก็สามารถกระจายความเสี่ยงแบบครอบคลุม ลงทุนในหุ้นทั้งตลาดไปเลย เพื่อลดความผันผวน นอกจากนี้ ยังสามารถกระจายลงทุนไปในหลายประเทศทั่วโลกด้วย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ประเทศพัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ เพื่อลดความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นจากความไม่มั่นคงในประเทศใดประเทศหนึ่ง ที่สำคัญ ต้องมีการจัดสรรสินทรัพย์ ลงทุนในตราสารหนี้ไปพร้อมๆ กับหุ้นด้วย เพื่อให้พอร์ตมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่ง ETF ก็เป็นเครื่องมือการลงทุนที่สำคัญสำหรับการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงแบบนี้ เพราะสะดวก เริ่มต้นได้ด้วยเงินลงทุนไม่สูงมาก และมีให้เลือกลงทุนทั้งในหุ้นและตราสารหนี้

5. กองทุนส่วนบบุคคล Global ETF มีแผนลงทุนให้เลือก 3 แบบสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แตกต่างกัน ประกอบไปด้วย แผนเติบโต สำหรับคนรับความเสี่ยงได้สูง ผลตอบแทนคาดหวัง 8% แผนสมดุล สำหรับคนรับความเสี่ยงได้ปานกลาง ผลตอบแทนคาดหวัง 6% และแผนพอเพียง สำหรับคนรับความเสี่ยงได้ต่ำ และต้องการผลตอบแทน 4% โดย Jitta Wealth จะจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในสัดส่วนที่แตกต่างกันตามแผนการลงทุนที่เลือก และจะซื้อ ETF ที่ดีที่สุดเพื่อเป็นตัวแทนของหุ้นทั่วโลก และพันธบัตรรัฐบาลกับหุ้นกู้คุณภาพดีของสหรัฐฯ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนแบบ passive และปล่อยให้เงินเติบโตไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลมาก

6. นักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จ ขอเพียงมีแผนการลงทุนระยะยาวที่ดี เริ่มต้นลงทุน และลงทุนตามแผนการนั้นเรื่อยๆ อย่างมีวินัย ไม่วอกแวก ก็จะช่วยให้ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้แล้ว


สรุปเนื้อหา Live

คุณพอล ภัทรพล ศิลปาจารย์ นักธุรกิจ นักลงทุน และนักเขียนหนังสือขายดี ได้ให้เกียรติกลับมาเยือนบ้าน Jitta House อีกครั้งเพื่อสัมภาษณ์ คุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO ของ Jitta Wealth เกี่ยวกับเทรนด์การลงทุนที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ และน่าจะเป็นทางรอดที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดในยุค New Normal

สถานการณ์การลงทุนภายหลัง Covid-19

แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ภายในประเทศจะคลี่คลายไปค่อนข้างมาก แต่เศรษฐกิจยังคงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกพักใหญ่ และต้องอาศัยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาช่วยค่อนข้างเยอะ ซึ่งบริษัทที่แข็งแกร่ง ก็ยังมีโอกาสในการเติบโตได้ดีอยู่ แต่ก็อาจจะไม่สามารถเติบโตได้สูงเหมือนเมื่อ 5 ถึง 10 ปีก่อนหน้านี้ ดังนั้น นักลงทุนต้องใช้ความพยายาม ทำการบ้านให้เยอะขึ้นเพื่อหาบริษัทที่แข็งแกร่งเหล่านั้น

คนไทยมองหาโอกาสลงทุนต่างประเทศ

จากตัวอย่างของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาทำให้เห็นว่า อุตสาหกรรมที่เป็นผู้นำตลาดหุ้นอยู่ตอนนี้ คือ อุตสาหกรรมเทคโนโลยี นำโดยธุรกิจประเภทซอฟต์แวร์ และคลาวด์ ที่ทำรายได้เติบโตสูงมาก บางบริษัทสูงหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในประเทศไทย ธุรกิจประเภทนี้ยังขาดหายไป ต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกเยอะ ทำให้ตลาดหุ้นต่างประเทศน่าดึงดูดมากสำหรับนักลงทุนไทยเวลานี้

แน่นอนว่า การลงทุนต่างประเทศช่วยกระจายความเสี่ยงได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่า ไปลงทุนโดยที่ไม่รู้อะไรเลยแล้วหวังจะกำไร นักลงทุนควรทำการบ้านให้ดี และที่สำคัญที่สุดคือเข้าใจถึงศักยภาพของตัวเอง ว่าสามารถรับความเสี่ยง และลงทุนเองในตลาดนั้นๆ ได้หรือไม่ เพราะถึงแม้ตลาดจะเขียวชอุ่ม ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทุกตัวจะดี

“ลงทุนในสิ่งที่เรารู้” ยังเป็นคติการลงทุนที่ยังใช้ได้ในปัจจุบัน และคนไทยเองบริโภคเทคโนโลยีจากต่างประเทศกันเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น Facebook Google หรือ Microsoft จึงไม่ควรสร้างข้อจำกัดว่าต้องลงทุนในประเทศไทยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากมีโอกาสก็ควรกระจายการลงทุนออกไปยังหุ้นเทคต่างประเทศเหล่านี้ด้วย

ลงทุนหุ้นเทคโนโลยี พอร์ตเติบโตสูง

เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันทุกคน ตั้งแต่ ดูหนัง ฟังเพลง ทำงาน หรือแม้กระทั่งอาหารการกิน หุ้นเทคโนโลยีเองก็มีให้เลือกหลากหลาย ที่โดดเด่นที่สุดในช่วง Covid-19 คือหุ้นประเภทซอฟต์แวร์ที่ให้บริการผ่านคลาวด์ หรือ SaaS เพราะทุกคนต่างพยายามหาทางใช้ชีวิต และดำเนินให้ราบรื่นที่สุด โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ธุรกิจประเภท SaaS จึงขยายฐานลูกค้าได้หลายเท่าตัว

ด้วยวิธีคิดค่าบริการเป็นแบบ subscription ธุรกิจแบบ SaaS จึงมีรายได้เข้ามาต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ในขณะเดียวกัน ต้นทุนก็ต่ำกว่าการสร้างซอฟต์แวร์แบบเมื่อก่อน และบริการก็มีความพิเศษเฉพาะตัว สร้างให้ลูกค้า “ติด” และใช้บริการต่อไปเรื่อยๆ จึงเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง

เช่น Adobe ที่เมื่อก่อนขายซอฟต์แวร์เป็นแผ่นๆ ให้คนไปลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ พอจะอัปเดตครั้งหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมาอัปเดตกี่คน รายได้จะเป็นเท่าไหร่ แต่พอเปลี่ยนมาใช้คลาวด์ และเก็บเงินแบบ subscription แล้ว ก็สามารถสร้างรายได้ประจำที่สามารถคาดการณ์ได้ ลูกค้าจะเปลี่ยนไปใช้ซอฟต์แวร์อื่นก็ยาก เพราะไฟล์ของ Adobe เป็นไฟล์เฉพาะที่จะต้องใช้กับซอฟต์แวร์ของ Adobe เท่านั้น

นอกจากหุ้นเทคเหล่านี้จะมีรายได้ประจำแล้ว ยังสามารถมีข้อมูล big data ของลูกค้าอยู่ในมือ เพื่อศึกษาและวิจัย พัฒนาออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดียิ่งขึ้น อย่างประเทศจีนที่มีระบบการชำระเงินทันสมัย สามารถวิเคราะห์และให้บริการลูกค้าได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

หุ้นเทค ลงทุนตอนนี้ยังไม่สาย

ราคาหุ้นเทคหลายๆ ตัวอาจจะสูง แต่ไม่ได้หมายความว่าหุ้นแพง เมื่อเทียบกับรายได้ที่หุ้นเทคสามารถทำได้ นอกจากนี้ ถ้าดูมูลค่าทางตลาด หลายๆ ตัวก็ยังขนาดไม่ได้ใหญ่มาก อาจจะอยู่ระดับหมื่นล้าน ในขณะที่หุ้นเทคใหญ่ๆ นั้นมีมูลค่าถึงแสนล้าน และล้านล้าน แสดงให้เห็นว่าโอกาสเติบโตยังมีอีกหลายเท่า และแม้ว่าตอนนี้ราคาจะขึ้นมาเยอะแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าขึ้นต่อไม่ได้ เช่น หุ้น Apple ช่วงวิกฤต ราคาตกลงไป 2-3 เท่า แต่ก็ฟื้นตัวกลับมาโต 5-10 เท่า

สร้างผลตอบแทนชนะตลาดหุ้นเทค กับ Jitta Ranking – U.S. Tech

เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีประเทศสหรัฐฯ โดยใช้เทคโนโลยี Jitta Ranking ของ Jitta ช่วยวิเคราะห์ คัดเลือกหุ้นเทคโนโลยีที่พื้นฐานดี และมูลค่าเหมาะสม น่าลงทุนระยะยาว และปรับพอร์ตอัตโนมัติทุกๆ 3 เดือน กองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking – U.S. TECH จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ชนะดัชนีตลาดในระยะยาวได้ ด้วยการพิสูจน์ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี ล่าสุด เฉลี่ย 30% ต่อปี และ 10 ปีย้อนหลังแสดงให้เห็นว่าสามารถเอาชนะดัชนี S&P500 และ NASDAQ ได้ ซึ่งหุ้นที่นำในพอร์ตนั้นจะเป็นหุ้นที่ให้บริการระบบคลาวด์ โดยกระจายการลงทุนในหุ้น 30 ตัว ซึ่ง 30 ตัวนี้จะถูกการคัดเลือกผ่านอัตราการเติบโตการสร้างรายได้เป็นหลักเพราะการที่รายได้โตได้ส่อถึงหุ้นที่มีความเข็มแข็งในตลาดมากกว่าคู่แข่ง

Jitta Ranking – U.S. Tech ลงทุนเริ่มต้น 1,000,000 บาท

ดูข้อมูล Jitta Ranking – U.S. Tech

ลงทุนตามเมกะเทรนด์ พอร์ตโตตามทิศทางโลก

หากมองว่าการลงทุนแค่ในธุรกิจประเภทเดียวเสี่ยงเกินไป พอร์ตไม่มีการกระจายความเสี่ยงเพียงพอ ก็อาจจะลงทุนอุตสาหกรรมอื่นๆ ไปพร้อมๆ กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เพื่อให้พอร์ตมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น

เพราะหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ไม่ใช่หุ้นประเภทเดียวที่มีแนวโน้มเติบโตได้อีกไกล ยังมีกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ที่กำลังเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันของเราทุกคนมากขึ้นเรื่อยๆ และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ที่เราเรียกกันว่าเป็น ธุรกิจเมกะเทรนด์ นั่นเอง

นักลงทุนที่มีความรู้ มองเห็นโอกาสการลงทุนในวิกฤตและในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง ก็สามารถเจาะกลุ่มลงทุนในธุรกิจเมกะเทรนด์เหล่านี้เป็นธีมๆ ไปได้ เช่น วิกฤต Covid-19 แสดงให้เห็นว่าโรคระบาดแปลกๆ ใหม่ๆ ที่มีความรุนแรง มีโอกาสเกิดขึ้นบ่อยมากขึ้นในอนาคต และบริษัทยาที่ผลิตวัคซีนออกมาจะมีความสำคัญมาก ก็อาจจะเลือกลงทุนในธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ พร้อมๆ กับการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี เป็นต้น

ETF เครื่องมือลงทุนเมกะเทรนด์ที่เข้าถึงได้ ใช้เงินลงทุนต่ำ

เมื่อเลือกเมกะเทรนด์ที่น่าลงทุนได้แล้ว คำถามต่อมาก็คือ จะลงทุนในหุ้นอะไร บริษัทไหน ถึงจะสร้างผลตอบแทนเติบโตได้ตามเมกะเทรนด์ ไม่ใช่เมกะเทรนด์มา แต่หุ้นกลับไปไม่รอด

สำหรับนักลงทุนที่เชี่ยวชาญก็วิเคราะห์หุ้นรายตัวได้ตามปกติ แต่หากเป็นนักลงทุนที่ไม่เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ETF (Exchange Traded Fund) ซึ่งเป็นกองทุนที่ซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมมาก เพราะนักลงทุนไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัว เนื่องจาก ETF จัดกองมาให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อคุณมั่นใจว่าประเทศใด หรืออุตสาหกรรมไหน กำลังเติบโต และจะเติบโตสูงมากในอนาคต ก็เลือกลงทุนในธุรกิจนั้นๆ ผ่าน ETF ได้เลย ซึ่ง ETF ก็มีให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ ETF ที่ลงทุนในหุ้นทั้งตลาดประเทศสหรัฐฯ จีน หรืออินเดีย ไปจนถึง ETF ที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี สุขภาพ หรืออีคอมเมิร์ซ เป็นต้น

และเนื่องจากเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นหลายๆ ตัว เมื่อคุณซื้อ ETF 1 หุ้น ก็เหมือนคุณได้เป็นเจ้าของหุ้นในกอง ETF ทั้งหมด แม้หุ้นใดหุ้นหนึ่งในกองจะเจ๊งไป คุณก็ไม่หมดตัว เพราะยังมีหุ้นอีกหลายตัวช่วยพยุงพอร์ตให้โตต่อไปได้ จึงเป็นการกระจายความเสี่ยงในต้นทุนที่ต่ำมาก ไม่ต้องใช้เงินทุนก้อนใหญ่ และเสี่ยงสูงเหมือนไปซื้อหุ้นรายตัวด้วยตนเอง

นอกจากนี้ ETF ยังมีความโปร่งใส ด้วยราคาที่อัปเดตตลอดเวลา และยิ่งมีคนมาซื้อ ETF ทำให้กองทุนโตขึ้นเรื่อยๆ สภาพคล่องก็ยิ่งดีขึ้น ต่างจากกองทุนรวมทั่วไป ที่ยิ่งขนาดใหญ่ ก็ยิ่งซื้อหุ้นได้ยาก ข้อดีอีกอย่างของ ETF ก็คือค่าธรรมเนียมต่ำ โดยเฉลี่ยแล้วค่าธรรมเนียม ETF ในอเมริกาจะอยู่ที่ 0.03% ในขณะที่กองทุนรวมทั่วไปอยู่ที่ 1.38%

ลงทุนในเมกะเทรนด์ที่คุณเลือกเองแบบอัตโนมัติ กับ Thematic

นักลงทุนที่ต้องการลงทุนตามเมกะเทรนด์ ผ่านการลงทุนใน ETF ค่าธรรมเนียมต่ำ สามารถเปิดบัญชีกองทุนส่วนบุคคล Thematic กับ Jitta Wealth ได้ คุณจะได้ออกแบบพอร์ตการลงทุนของตนเอง เลือกธีมเมกะเทรนด์ที่คุณเชื่อมั่นใส่พอร์ตได้ถึง 5 ธีมในพอร์ตเดียว แล้ว Jitta Wealth จะนำไปลงทุนผ่านกองทุน ETF ที่ดีที่สุดของแต่ละธีมให้ ทำให้ได้กระจายความเสี่ยงหลากหลาย และที่สำคัญที่สุดคือ รักษาวินัยการลงทุนที่ดี ด้วยการปรับพอร์ตแบบอัตโนมัติ ที่จะนำเงินปันผลที่คุณได้รับไปลงทุนต่อให้เลย และคอยปรับสัดส่วนของแต่ละเมกะเทรนด์ในพอร์ตให้เท่าๆ กันเสมอ คุณจึงเพิ่มเงิน หรือถอนเงินเมื่อไหร่ก็ได้

โดย Jitta Wealth ได้ทดลองนำธีมต่างๆ กัน 4 มาจัดพอร์ตหลายๆ แบบ พบว่าผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นย้อนหลังของการลงทุนปี 2560-2562 อยู่ระหว่าง 12-18% ต่อปี

สำหรับเมกะเทรนด์ที่ Jitta Wealth คัดสรรมาให้คุณเลือกหยิบใส่พอร์ตนั้นก็มีถึง 10 ธีมด้วยกัน ได้แก่

  • ธุรกิจสหรัฐอเมริกา
  • ธุรกิจจีน
  • ธุรกิจอินเดีย
  • ธุรกิจสุขภาพ
  • ธุรกิจหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (AI)
  • ธุรกิจคลาวด์ (Cloud computing)
  • ธุรกิจเทคโนโลยี
  • ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce)
  • ธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech)
  • ธุรกิจเกมและอีสปอร์ต (E-sports)

Thematic ลงทุนเริ่มต้น 100,000 บาท

ดูข้อมูล Thematic

ลงทุนทั่วโลกในหุ้นและตราสารหนี้ พอร์ตผันผวนต่ำ

สำหรับนักลงทุนที่อยากให้พอร์ตผันผวนน้อยลง และยังสร้างผลตอบแทนได้ดีระดับหนึ่ง การจัดสรรพอร์ตลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ ในสัดส่วนที่เหมาะสม จะช่วยให้นักลงทุนสร้างผลตอบแทนสูงที่สุดในความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด ตามหลักการ Modern Portfolio Theory ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก

หลักการคร่าวๆ คือ การจัดสรรสินทรัพย์ หรือ asset allocation ลงทุนในสินทรัพย์ 2 ชนิดขึ้นไปที่ผันผวนในทิศทางตรงกันข้าม จะช่วยรักษาพอร์ตให้มีเสถียรภาพ ไม่เหวี่ยงมาก เช่น ในเวลาที่หุ้นตก ตราสารหนี้มักจะขึ้น ดังนั้น เมื่อลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ พอร์ตก็จะค่อนข้างนิ่งกว่า หากเทียบกับพอร์ตอื่นที่ลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว ซึ่งนักลงทุนก็สามารถเลือกได้ว่า ต้องการลงทุนหุ้นเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต และต้องการลงทุนตราสารหนี้เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต หากลงทุนหุ้นเยอะกว่าตราสารหนี้ พอร์ตก็จะผันผวนเล็กน้อย แต่ผลตอบแทนก็จะมากกว่าคนที่ลงทุนตราสารหนี้เยอะกว่าหุ้น

และเพื่อกระจายความเสี่ยงให้มากขึ้นอีก นักลงทุนอาจจะมองการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลกด้วย เพื่อกำจัดความเสี่ยงระดับประเทศออกไป ไม่ต้องคาดการณ์ว่าประเทศไหนจะโตดี ประเทศไหนจะโตช้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในโลก ก็ยังจะได้รับผลตอบแทนในระดับที่ดี โอกาสที่จะขาดทุนถาวรคือถ้าเศรษฐกิจทั้งโลกพังทลาย ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมาก จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่ถนัดวิเคราะห์เศรษฐกิจ และสถานการณ์ตลาด

ซึ่ง ETF ก็เข้ามาอำนวยความสะดวกอีกเช่นเดียวกัน เพราะนอกจากจะมีให้เลือกลงทุนในตลาดหุ้นของทั้งประเทศใดประเทศหนึ่งแล้ว ยังจัดประเภทเป็นตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว กำลังพัฒนา หรือตลาดเกิดใหม่ให้เลือกลงทุนได้ด้วย

นอกจากนี้ ก็ยังมีกองทุน ETF ที่ลงทุนในตราสารหนี้อย่างพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ ซึ่งก็เป็นการซื้อพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมดที่มีในตลาดนั้นๆ หรือหุ้นกู้คุณภาพดี (investment grade) ที่มีทั้งหมดในตลาดนั้นๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง ก็ทำให้พอร์ตยิ่งผันผวนน้อยลง

สร้างผลตอบแทน 4-8% ต่อปี ความเสี่ยงต่ำ กับ Global ETF

ที่ผ่านมา นักลงทุนหลายๆ คนที่ไม่ถนัดวิเคราะห์หุ้นต่างประเทศ ต้องพลาดโอกาสการลงทุนดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย Jitta Wealth จึงพยายามเปิดโอกาสให้นักลงทุนในไทย ได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการเติบโตของตลาดต่างประเทศ ในความเสี่ยงที่ต่ำกว่าการเลือกหุ้นรายตัว จึงได้เปิดให้บริการกองทุนส่วนบุคคล Global ETF ที่จะจัดสรรพอร์ตให้นักลงทุนตามหลักการ Modern Portfolio Theory โดยลงทุนในสินทรัพย์ทั้งตราสารหนี้ และหุ้นทั่วโลก ในสัดส่วนที่แตกต่างกันไปตามระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้

แผนการลงทุนของ Global ETF มี 3 แบบ ดังนี้

  1. เติบโต ความเสี่ยง: สูงถึงสูงมาก ผลตอบแทนคาดหวัง: 8% ต่อปี สัดส่วนสินทรัพย์ที่ลงทุน: หุ้น 80% ตราสารหนี้ 20%
  2. สมดุล ความเสี่ยง: ปานกลางถึงสูง ผลตอบแทนคาดหวัง: 6% ต่อปี สัดส่วนสินทรัพย์ที่ลงทุน: หุ้น 50% ตราสารหนี้ 50%
  3. พอเพียง ความเสี่ยง: ต่ำถึงปานกลาง ผลตอบแทนคาดหวัง: 4% ต่อปี สัดส่วนสินทรัพย์ที่ลงทุน: หุ้น 20% ตราสารหนี้ 80%

แม้ 8% จะดูเหมือนเล็กน้อย แต่เมื่อคุณพอล ภัทรพล ลองคำนวณให้ดูแล้วพบว่า หากลงทุนเริ่มต้น 100,000 บาท ผ่านไป 20 ปี จะกลายเป็น 460,000 บาท หรือโตขึ้น 4 เท่าโดยที่นักลงทุนไม่ต้องทำอะไรเลย และยิ่งถ้าเพิ่มทุนได้ทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท พอร์ตก็จะโตได้ถึง 6.2 ล้านบาททีเดียว

Global ETF ลงทุนเริ่มต้น 100,000 บาท

ดูข้อมูล Global ETF

การลงทุนต่างประเทศมีความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน

ไม่ว่าจะเป็นกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking – U.S. Tech กองทุนส่วนบุคคล Thematic หรือกองทุนส่วนบุคคล Global ETF ต่างก็เป็นการลงทุนต่างประเทศ ต้องโอนเงินและแปลงสกุลเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ จึงมีความเสี่ยงด้านค่าเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหากลงทุนด้วยตนเอง นักลงทุนสามารถเลือกได้ว่าจะทำประกันความเสี่ยงด้านค่าเงินหรือไม่ แต่สำหรับ Jitta Wealth เรามองว่าการทำประกันความเสี่ยงนั้น มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และไม่ค่อยคุ้มค่า เพราะนักลงทุนไม่สามารถล็อกอัตราแลกเปลี่ยนวันนี้ ให้มีผลในอีก 10 ปีข้างหน้าได้ ในกรณีลงทุนระยะยาว นักลงทุนจึงเหมือนเสียค่าใช้จ่ายไปโดยไม่จำเป็น ดังนั้น Jitta Wealth จึงไม่ทำประกันความเสี่ยงดังกล่าว

ลงทุนแบบ Passive เทรนด์โลกที่มาแรงขึ้นเรื่อยๆ

การลงทุนกับ Jitta Wealth เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนแบบ passive คือ ปล่อยให้พอร์ตเติบโตตามมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ลงทุนไปตามธรรมชาติ ไม่จับจังหวะตลาด ไม่ซื้อขายบ่อย กระจายความเสี่ยงให้มาก และที่สำคัญคือ เน้นค่าธรรมเนียมต่ำ เพื่อให้มีกำไรกลับเข้ามาลงทุนต่อให้เยอะที่สุด

ซึ่งการลงทุนแบบ passive นี้กำลังได้รับความนิยมสูงมาก มีเงินลงทุนไหลเข้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และคาดการณ์ว่าจะเป็นรูปแบบการลงทุนที่ได้รับความนิยมแซงหน้าการลงทุนแบบ active ที่จับจังหวะตลาด ซื้อขายบ่อยครั้ง ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

การวิจัยหลายๆ แบบพบว่า การลงทุนแบบ passive ระยะยาว 10-50 ปี สามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าการลงทุนแบบ active ส่วนหนึ่งก็เพราะค่าธรรมเนียมของการบริหารจัดการแบบ active นั้นสูงกว่ามาก

สูตรลับความสำเร็จ คือ เริ่มต้น และทำต่อไปเรื่อยๆ

Tony Robbins โค้ชการเงินระดับโลก เคยกล่าวไว้ว่า แผนการเงินนั้นออกแบบมาให้ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว แต่เพราะมันน่าเบื่อ ทำตามได้ยาก หลายคนเลยไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินของตนเองได้

กลุ่ม FIRE (Financial Independence, Retire Early) เป็นกลุ่มที่สนันสนุนคนที่สนใจอยากจะเกษียณเร็ว ส่วนใหญ่ก็จะแนะนำให้ใช้เงินประจำวันอย่างประหยัด พอเพียง และหมั่นลงทุนให้เป็นกิจวัตร โดยลงทุนในกองทุนทั่วไป โดยเฉพาะกองทุนดัชนี เพื่อป้องกันเงินต้น และปล่อยให้เงินเติบโตแบบ passive ได้โดยไม่ต้องทำอะไรมาก

ขอเพียงหมั่นรักษาวินัยทางการเงินที่ดี เพิ่มทุนในกองทุนดีๆ อย่างสม่ำเสมอ เงินล้านไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม

มีแผนการเงินที่ดี เริ่มลงมือทำ และทำต่อไปเรื่อยๆ สักวันก็จะถึงปลายทางนั้นเอง