by Jitta
วันที่ 5 เม.ย. 2560 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 15 เม.ย. 2560
แนวคิดหลักการซื้อขายหุ้น

เมื่อวานเขียนเรื่องธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ขายบริษัทไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย (SCSMG) ให้กับ ACE Group (ACE) ไป เลยคิดถึงมุมมองอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จากตัวอย่างนี้ครับ เลยอยากมาแชร์ให้ทุกคนฟัง

ในโลกของธุรกิจแล้ว เวลาที่ผู้บริหารจะขายธุรกิจในเครือออกไป ผู้บริหารก็จะขายธุรกิจที่ย่ำแย่หรือไม่ทำกำไรออกไป เพื่อลดการขาดทุนของกลุ่ม พร้อมทั้งจะเก็บธุรกิจในเครือที่เป็นดาวรุ่งและสร้างกำไรมากๆไว้ตลอดไป

อย่าง SCB ก็มีธุรกิจประกันในเครือเป็น ธุรกิจประกันภัย คือ SCSMG กับธุรกิจประกันชีวิตคือ บริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิต (SCBLIF) ซึ่งถ้าหากเราเข้าไปอ่านงบการเงินดูสภาพทางธุรกิจของทั้งสองบริษัท ก็จะตัดสินใจได้ง่ายๆเลยว่า SCBLIF มีเศรษฐศาสตร์ทางธุรกิจดีกว่า สามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอ และคาดการณ์ได้ง่ายกว่า SCSMG เยอะ

ถ้าเข้าไปดู Jitta ก็จะเห็นได้ชัดว่า Historical Jitta Score ของ SCBLIF มากกว่า 5 ทุกปี ในขณะที่ของ SCSMG น้อยกว่า 5 ในทุกปี รวมทั้ง Jitta Factors, Jitta Signs นั้น ทุกอย่างของ SCBLIF ดีกว่า SCSMG ทั้งสิ้น แสดงให้เห็นชัดเลยว่า ผลงานทางธุรกิจของ SCBLIF นั้นชนะ SCSMG ขาดลอยครับ

ดังนี้แล้ว ถ้าหากเราเป็นผู้บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ เราจะขายธุรกิจไหน และ เก็บธุรกิจไหนเอาไว้ครับ?

ตอบได้ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ ก็ควรจะต้องขายธุรกิจประกันภัยของ SCSMG ทิ้งไป และเก็บธุรกิจประกันชีวิตที่ดีกว่าอย่าง SCBLIF เอาไว้

สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามที่เราคิดครับ ในปี 2011 SCB ตัดสินใจซื้อหุ้น SCBLIF ประมาณ 40% จาก New York Life เพื่อให้ตัวเองเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 94.66% ในขณะที่ปี 2013 ก็ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดของ SCSMG ให้กับ ACE Group ครับ

ซึ่งก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากในมุมมองของธุรกิจครับ ขายธุรกิจที่ไม่ดีทิ้งไป และ เก็บแต่ธุรกิจที่ดีเอาไว้

สิ่งที่ตัดสินใจง่ายในทางธุรกิจแบบนี้ แต่พอมาเป็นโลกของการลงทุนในตลาดหุ้น คนกลับลืมสิ่งเหล่านี้ครับ และทำในสิ่งที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ คนส่วนมากเวลาต้องขายหุ้นนั้น มักจะเลือกขายหุ้นที่กำไรมากๆไว้ก่อน เพราะถือว่าได้กำไรแล้ว และเก็บหุ้นที่ขาดทุนไว้ เพราะทำใจไม่ได้ที่จะต้องขายขาดทุนและหวังว่าสักวันนึงราคาหุ้นจะกลับขึ้นมา

การตัดสินใจแบบนี้ ทำให้สุดท้ายแล้วเราจะขาดทุนในระยะยาวครับ เพราะเงินจะไปจมอยู่กับบริษัทที่แย่ๆ ทำให้เงินไม่งอกเงยขึ้นมาตามที่ควรจะเป็นถ้าหากเราเปลี่ยนเงินจำนวนเดียวกันนี้ไปลงทุนในบริษัทที่ดีครับ

ดังนั้นตามที่ Warren Buffett บอกไว้ครับว่า

อะไรที่สมเหตุสมผลในโลกธุรกิจ ก็สมเหตุสมผลในโลกของการลงทุน
– Warren Buffett

เราควรจะตัดสินใจซื้อขายหุ้นของเราเหมือนกับการตัดสินใจทางธุรกิจ คือ เวลาจะซื้อหรือขายหุ้นนั้น อย่าไปคิดถึงเรื่องกำไรขาดทุนจากราคาหุ้นมากครับ เพราะมันไม่ได้บอกอะไรกับเราเท่าไหร่เลย สิ่งที่เราควรจะต้องทำก็คือ

  1. วิเคราะห์คุณภาพและมูลค่าของธุรกิจ
  2. พยายามเก็บหุ้นของบริษัทดาวรุ่งที่มูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเอาไว้
  3. ขายหุ้นของบริษัทที่ธุรกิจย่ำแย่ออกไป

ในระยะยาวแล้วพอร์ตการลงทุนโดยรวมของเราจะเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆตามมูลค่าของบริษัทดีๆที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเองครับ อย่าลืมว่ามหาเศรษฐีเกือบทุกคนบนโลกนี้นั้น รวยขึ้นมาได้จากการถือหุ้นของบริษัทดีๆไว้เพียงแค่ไม่กี่บริษัทเท่านั้นเองครับ

ในกรณีของ SCBLIF และ SCSMG นั้นจะเห็นได้ว่า มูลค่าทางธุรกิจ หรือ ราคาหุ้นนั้น ก็สะท้อนผลงานของบริษัทอย่างเต็มที่ โดย SCBLIF นั้น มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 5 เท่า ภายใน 6 ปีทีผ่านมา ในขณะที่ SCSMG นั้นมูลค่าแทบไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยนับจากปี 2007

ดังนั้นถ้าหากเราถือหุ้น 2 ตัวนี้อยู่ ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหนตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา ไม่ว่าราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทนี้จะขึ้นลงยังไง ไม่ว่าเราจะได้กำไรจากบริษัททั้งสองนี้มากน้อยแค่ไหน การตัดสินใจทางการลงทุนที่ถูกต้องก็คือ การเก็บหุ้นของ SCBLIF เอาไว้ และขาย SCSMG ออกไป เหมือนกับการตัดสินใจที่เราจะทำถ้าหากเราเป็นผู้บริหารของ SCB นั่นเองครับ

แต่ให้ดีที่สุด เพียงแค่เราดู Historical Jitta Score เราก็ไม่ควรไปลงทุนใน SCSMG ตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ

ปล. จะเห็นว่าหลักการลงทุนจริงๆง่ายมากครับ แต่ในสมัยที่ยังไม่มี Jitta ก็ถือได้ว่าเป็นงานที่ค่อนข้างหนักเอาการนะครับ กับการที่ต้องคอยมานั่งวิเคราะห์ธุรกิจต่างๆและคำนวณมูลค่าที่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างถูกต้องตามมุมมองทางธุรกิจครับ

และนั่นก็เป็นที่มาของ Jitta ที่เราอยากให้คนทั่วไปสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีเหตุมีผลเหมือนกับการทำธุรกิจ เพื่อให้ผลตอบแทนการลงทุนของทุกคนดีขึ้น และที่สำคัญสบายใจในการลงทุนมากขึ้นครับ