by Monsicha Hoonsuwan
วันที่ 18 ก.ย. 2563 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 12 ม.ค. 2566
สรุป Live: ลงทุนต่างประเทศวิถีใหม่ สไตล์ Global ETF

💡 ไฮไลท์

  1. Global ETF คือ กองทุนส่วนบุคคลที่เหมาะกับทุกคนที่ต้องการลงทุนระยะยาวแบบกระจายความเสี่ยงทั่วโลก ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูงมาก พร้อมสร้างผลตอบแทนที่คาดการณ์ได้
  2. แผนการลงทุนของ Global ETF จะแบ่งออกเป็น 3 แผนใหญ่ๆ ได้แก่ แผนเติบโต แผนสมดุล แผนพอเพียง แต่ละแผนจะให้ผลตอบแทนและระดับความเสี่ยงแตกต่างกัน นักลงทุนสามารถเลือกแผนที่เหมาะกับตนเองที่สุดเพื่อลงทุนได้
  3. Jitta Wealth ยึดมั่นในหลักการลงทุนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าให้ผลตอบแทนยั่งยืนในระยะยาว และ Global ETF ก็นำทฤษฎีรางวัลโนเบล Modern Portfolio Theory มาประยุกต์ให้เป็นระบบลงทุนอัตโนมัติ เพื่อให้ทุกคนมีพอร์ตลงทุนต่างประเทศที่สร้างผลตอบแทนได้ตามคาดหวังในความผันผวนที่ต่ำที่สุด
  4. หัวใจของ Global ETF มี 4 ข้อ นั่นคือ 1) ลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ได้แก่ หุ้นและพันธบัตร 2) เลือก ETF เป็นตัวแทนสินทรัพย์ทั้งสอง 3) จัดสัดส่วนสินทรัพย์ทั้งสองให้สร้างผลตอบแทนสูงที่สุดในความเสี่ยงต่ำที่สุด และ 4) ดูแลปรับพอร์ตแบบอัตโนมัติ
  5. Global ETF ไม่คิดค่าธรรมเนียมตามกำไร (performance fee) มีเพียงค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ 0.5% ต่อปี และค่าใช้จ่ายตามจริงที่เรียกเก็บโดยผู้ให้บริการ เช่น โบรกเกอร์ ผู้รักษาสินทรัพย์ เป็นต้น

ดูย้อนหลัง

สรุปเนื้อหา Live

ในยุค new normal ที่เศรษฐกิจทั่วโลกระส่ำระส่าย ตลาดหุ้นตกต่ำ และประเทศไทยได้รับผลกระทบหนักจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและส่งออกที่รับพิษผลพวง Covid-19 ไปเต็มๆ 

นักลงทุนหลายคนเริ่มไม่มั่นใจในอนาคตของตลาดหุ้นไทยว่าจะเป็นอย่างไร และมองหาโอกาสในต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง และเก็บเกี่ยวกำไรจากเศรษฐกิจประเทศอื่นๆ ที่เติบโตได้ดีกว่า

ทาง Jitta Wealth จึงได้จัด Live: ลงทุนต่างประเทศวิถีใหม่ สไตล์ Global ETF โดยมีคุณตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta และ Jitta Wealth มาให้ข้อมูล ถึงวิธีการลงทุนยุค new normal ผ่านกองทุนส่วนบุคคล Global ETF ซึ่งเป็นการลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพดีทั่วโลกผ่าน ETF เพื่อสร้างผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ย 4-8% ต่อปี ด้วยความเสี่ยงต่ำ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

Global ETF คืออะไร เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน

คุณตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ เล่าให้ฟังว่า Global ETF คือ กองทุนส่วนบุคคลที่เหมาะกับทุกคนที่ต้องการลงทุนระยะยาวแบบกระจายความเสี่ยงทั่วโลก ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูงมาก พร้อมสร้างผลตอบแทนที่คาดการณ์ได้ ทำให้การลงทุนมีความมั่นคงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาปัจจุบัน ที่เศรษฐกิจทั่วโลกยังง่อนแง่น พร้อมจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็ว

Global ETF จะคำนึงถึงความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้เป็นสำคัญ และแนะนำแผนการลงทุนที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนดีที่สุดในระดับความเสี่ยงที่ต่ำที่สุดสำหรับนักลงทุนแต่ละคน โดยแผนการลงทุนของ Global ETF จะแบ่งออกเป็น 3 แผนใหญ่ๆ ได้แก่

  1. แผนเติบโต
  2. แผนสมดุล
  3. แผนพอเพียง

แผนเติบโต

สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้สูง | ผลตอบแทนคาดหวัง 8%

ลงทุนหุ้น 80% และตราสารหนี้ 20% โดยกระจายความเสี่ยงลงทุนทั้งในหุ้นสหรัฐฯ หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหราชอาณาจักร เยอรมณี และตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน บราซิล ส่วนตราสารหนี้ที่ลงทุนก็เป็นหุ้นกู้เอกชนชั้นดีในสหรัฐฯ 

แผนสมดุล 

สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง | ผลตอบแทนคาดหวัง 6%

ลงทุนหุ้น 50% และตราสารหนี้ 50% กระจายความเสี่ยงลงทุนทั้งในหุ้นสหรัฐฯ หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหราชอาณาจักร เยอรมณี และตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน บราซิล ส่วนตราสารหนี้ที่ลงทุนก็เป็นหุ้นกู้เอกชนชั้นดีในสหรัฐฯ เช่นกัน

แผนพอเพียง 

สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ | ผลตอบแทนคาดหวัง 4%

ลงทุนหุ้น 20% และตราสารหนี้ 80% กระจายความเสี่ยงลงทุนทั้งในหุ้นสหรัฐฯ หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหราชอาณาจักร เยอรมณี และตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน บราซิล แต่จะกระจายลงทุนในตราสารหนี้ 2 ประเภท ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และหุ้นกู้เอกชนชั้นดีในสหรัฐฯ

จัดพอร์ตตามทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับระดับรางวัลโนเบล

คุณตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ย้ำว่า Jitta Wealth ยังคงยึดมั่นในหลักการลงทุนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าให้ผลตอบแทนยั่งยืนในระยะยาว และต้องการนำเสนอหลักการลงทุนเหล่านั้นให้นักลงทุนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ทั้งในแง่ของความสะดวกสบาย และต้นทุนค่าธรรมเนียมที่ต่ำ

จึงกลายมาเป็น Global ETF ที่นำทฤษฎี Modern Portfolio Theory มาประยุกต์ให้เป็นระบบลงทุนอัตโนมัติ ทุกคนสามารถมีพอร์ตลงทุนต่างประเทศ ที่สร้างผลตอบแทนได้ตามคาดหวัง ในความผันผวนที่ต่ำที่สุด ผ่านหลักการ 4 ข้อต่อไปนี้

  1. ลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ได้แก่ หุ้นและพันธบัตร
  2. เลือก ETF เป็นตัวแทนสินทรัพย์ทั้งสอง
  3. จัดสัดส่วนสินทรัพย์ทั้งสองให้สร้างผลตอบแทนสูงที่สุด ในความเสี่ยงต่ำที่สุด
  4. ดูแลปรับพอร์ตแบบอัตโนมัติ

ลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ได้แก่ หุ้นและตราสารหนี้

ในระยะยาวแล้ว พอร์ตลงทุนที่ผสมผสานระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ จะช่วยให้นักลงทุนสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้อย่างเดียว และพอร์ตก็ผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว เพราะหุ้นในระยะยาวได้ผลตอบแทนสูงที่สุด แต่ความผันผวนก็สูงที่สุดด้วย ส่วนตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนรองลงมา และความผันผวนต่ำมาก เมื่อนำคุณสมบัติของทั้งหุ้นและตราสารหนี้มารวมกันในพอร์ตเดียว ก็ทำให้ผลตอบแทนออกมาดี ในความผันผวนต่ำได้

การจัดพอร์ตด้วยหุ้นและตราสารหนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เป็นแนวคิดที่วอร์เรน บัฟเฟตต์เองก็ใช้ และจอห์น โบเกิล ผู้ก่อตั้ง Vanguard และบิดาแห่งกองทุนดัชนี ก็เคยบอกกับนักลงทุนไว้ว่า การจัดพอร์ตด้วยหุ้นและตราสารหนี้ น่าจะมีผลต่อการเติบโตระยะยาวของพอร์ตมากกว่าปัจจัยอื่นๆ ทั้งหมด 

ซึ่งคุณตราวุทธิ์ก็เสริมว่า นักลงทุนสามารถจัดพอร์ตด้วยสินทรัพย์อื่นๆ ได้ เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ แต่ในระยะยาวแล้ว พอร์ตที่ลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ และทองคำ อาจจะทำผลตอบแทนได้แย่กว่าพอร์ตที่ถือแค่หุ้นกับตราสารหนี้ เนื่องจากทองคำให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดในระยะยาว

นอกจากนี้ นักลงทุนยังไม่ต้องกังวลเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือ QE ที่รัฐบาลทั่วโลกต่างงัดมาใช้กันในยามที่วิกฤต Covid-19 ออกอาละวาด เพราะ Global ETF ไม่ได้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหลัก แต่ลงทุนในหุ้นกู้เกรดดี ออกโดยบริษัทชั้นนำที่มีความมั่นคง น่าเชื่อถือ ยากที่ระยะยาวหุ้นกู้บริษัทเอกชนเหล่านี้จะผิดนัดชำระหนี้ และอย่างที่ปู่บัฟเฟตต์บอกเสมอว่า เขาเองเชื่อมั่นในภาคเอกชนของสหรัฐฯ ว่าอย่างไรก็ต้องเดินหน้าเติบโตไปเรื่อยๆ และเขาก็จะลงทุนในบริษัทสหรัฐฯ ไปเรื่อยๆ เช่นกัน 

เลือก ETF เป็นตัวแทนสินทรัพย์ทั้งสอง

นอกจากการจัดพอร์ตด้วยสินทรัพย์สองประเภท ได้แก่ หุ้นและตราสารหนี้จากทั่วทุกมุมโลกแล้ว Global ETF ยังกระจายความเสี่ยงให้นักลงทุนเพิ่มอีกด้วยการลงทุนผ่านกองทุน ETF

ETF (Exchange Traded Fund) แปลตรงตัวเลยก็คือ กองทุนดัชนีที่ซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ เป็นลูกผสมระหว่างกองทุนรวมดัชนีและหุ้น โดยรวมข้อดีของกองทุนรวม ที่ช่วยนักลงทุนกระจายความเสี่ยงลงทุนในหลักทรัพย์หลายๆ ตัวด้วยเงินลงทุนไม่สูงมาก กับข้อดีของหุ้น ที่สามารถซื้อขายได้สะดวก และค่าธรรมเนียมต่ำ 

เพียงซื้อ ETF ที่ลงทุนในหุ้นทั้งตลาดสหรัฐฯ แค่หน่วยเดียว ราคา $20 ก็ได้เป็นเจ้าของหุ้นกว่า 4,000 บริษัทในสหรัฐฯ แล้ว 

ซึ่ง ETF ก็มีให้เลือกหลากหลายมาก ไม่เฉพาะแค่อ้างอิงดัชนีหุ้นทั้งตลาดสหรัฐฯ เท่านั้น ยังมีอ้างอิงดัชนีอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี บริการด้านสุขภาพ e-sports เป็นต้น

นอกจากนี้ยังสามารถซื้อ ETF ที่ไปลงทุนในประเทศอื่นๆ ได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย หรือเวียดนาม ก็มี ETF ให้เลือกซื้ออยู่ในตลาดสหรัฐฯ นี่เอง แถมยังมีสภาพคล่องที่ดีมาก มูลค่าการซื้อขายระดับแสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ไม่ต้องกลัวว่าจะซื้อไม่ได้ หรือซื้อมาแล้วจะขายไม่ออก 

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากสัดส่วนของหุ้นต่างๆ ในดัชนีเปลี่ยนแปลงไป สัดส่วนใน ETF ที่คุณซื้อก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามด้วย โดยที่คุณไม่ต้องคอยติดตามหรือปรับพอร์ตเองเลย 

และด้วยราคาของ ETF ที่ปรับเปลี่ยนทุกวันแบบ real-time จึงทำให้การจัดสัดส่วน ETF ให้ตรงกับสัดส่วนที่วางแผนไว้ทำได้อย่างแม่นยำมาก ผลตอบแทนก็จะได้ใกล้เคียงดัชนีที่อ้างอิงและผลตอบแทนคาดหวังมากยิ่งขึ้น

สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ ก็จะต้องเป็นตราสารหนี้ที่ได้เรทติ้ง BBB ขึ้นไป ถือว่าเป็นตราสารหนี้เกรดดี เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยการซื้อ ETF จะเป็นการกระจายความเสี่ยงซื้อตราสารหนี้แบบยกตะกร้า ได้เป็นเจ้าของพันธบัตรและหุ้นกู้หลายพันตัวในคราวเดียว

วิธีการคัดเลือก ETF เพื่อลงทุน

เกณฑ์ในการคัดเลือก ETF เพื่อลงทุนตามนโยบาย Global ETF มีดังต่อไปนี้

  1. เป็นกองทุนขนาดใหญ่ มีเงินลงทุนหรือ AUM สูง เพราะแสดงให้เห็นถึงความมั่นคง และสภาพคล่องที่ดีของ ETF
  2. อัตราส่วนค่าธรรมเนียม (expense ratio) ต่ำเมื่อเทียบกัน ETF อื่นๆ ที่ลงทุนแบบเดียวกัน
  3. Tracking error ต่ำ หรือสร้างผลตอบแทนได้ใกล้เคียงดัชนีมาก

เมื่อพิจารณา 3 คุณสมบัตินี้แล้ว จึงได้ออกมาเป็น ETF ทั้งหมด 5 กอง ได้แก่

ตราสารทุน

Vanguard Total Stock Market ETF (VTI) 

อ้างอิงดัชนี CRSP US Total Market Index 

รวมหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ

Vanguard FTSE Developed Markets ETF (VEA)

อ้างอิงดัชนี FTSE Developed All Cap Ex. US Index 

รวมหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ประเทศพัฒนาแล้วนอกเหนือจากสหรัฐฯ

Vanguard FTSE Emerging Markets ETF (VWO)

อ้างอิงดัชนี FTSE Emerging Markets All Cap China A Inclusion Index

รวมหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ประเทศกำลังพัฒนา เช่น จีน บราซิล ไต้หวัน และแอฟริกาใต้

ตราสารหนี้

iShares Core U.S. Aggregate Bond ETF (AGG)

อ้างอิงดัชนี BBG Barc U.S. Aggregate Index 

รวมพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้คุณภาพดี (Investment Grade) ของสหรัฐฯ ที่มีระยะเวลาหมดอายุไม่ต่ำกว่า 1 ปี

iShares iBoxx $ Investment Grade Corporate Bond ETF (LQD)

อ้างอิงดัชนี Markit iBoxx USD Liquid Investment Grade Index 

รวมหุ้นกู้คุณภาพดี (Investment Grade) ของสหรัฐฯ กว่า 1,000 หลักทรัพย์

ค่าธรรมเนียม

เมื่อเปรียบเทียบการลงทุนด้วย ETF และกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ จะเห็นได้ว่าค่าธรรมเนียมต่างกันมาก เพราะกองทุนที่ไปลงต่างประเทศอย่าง Feeder Fund นั้นมักจะมีค่าธรรมเนียมสองต่อ นั่นคือค่าธรรมเนียมที่จ่ายกองทุนแม่ในต่างประเทศ และค่าธรรมเนียมที่จ่ายกองทุน Feeder Fund ในประเทศไทย

เมื่อโดนค่าธรรมเนียมยิ่งแพง เงินก็ยิ่งโตได้ช้าลง

แต่ค่าธรรมเนียม ETF เคยอยู่ที่ประมาณ 0.4% ตอนนี้ลดลงมาเหลือเฉลี่ย 0.2% และบางตัว เช่น VTI มีค่าธรรมเนียมเพียง 0.03% เท่านั้น

ส่วนกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ มีค่าธรรมเนียมเฉลี่ยอยู่ที่ 0.5% แต่ ETF ตราสารหนี้มีค่าธรรมเนียมเฉลี่ยอยู่ที่ระหว่าง 0.04-0.05%

ETF มีค่าธรรมเนียมต่ำมาก เนื่องจากต้นทุนต่ำ ส่วนใหญ่เป็นการซื้ออ้างอิงดัชนี จึงแทบไม่จำเป็นต้องมีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารจัดการอะไร ลดต้นทุนค่าบริหารจัดการไปได้เยอะ นักลงทุนได้ประโยชน์ แถมยังมั่นใจได้ว่าพอร์ตเพิ่มมูลค่าล้อไปตามการเติบโตของดัชนีตลาดในระยะยาว จึงคาดการณ์ผลตอบแทนได้ค่อนข้างแม่นยำ

จัดสัดส่วนสินทรัพย์ทั้งสองให้สร้างผลตอบแทนสูงที่สุด ในความเสี่ยงต่ำที่สุด

ตามทฤษฎี Modern Portfolio Theory นั้น เมื่อจัดสัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ต จะต้องพิจารณา 2 ปัจจัย ได้แก่ ผลตอบแทน และความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้

Jitta Wealth ทดลองจัดสัดส่วน ETF หลายๆ เพื่อค้นหาสัดส่วนที่ดีที่สุด ซึ่งก็คือสัดส่วนที่จะให้ผลตอบแทนมากที่สุดในความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด หรือที่ Modern Portfolio Theory เรียกว่า Efficient Frontier

และนั่นก็คือสัดส่วนที่ Jitta Wealth นำมาใช้จัดพอร์ต Global ETF ทั้ง 3 แผนการลงทุน ซึ่งดูรายละเอียดได้ที่นี่ 

ดูแลปรับพอร์ตแบบอัตโนมัติ

หลังจากลงทุนตามสัดส่วนหุ้นและตราสารหนี้ที่กำหนดไว้แล้ว สิ่งสำคัญก็คือการรักษาสัดส่วนนั้นให้ใกล้เคียงเดิมอยู่เสมอ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง โดย Jitta Wealth จะมีเทคโนโลยีคอยดูแลและปรับพอร์ตให้อัตโนมัติ ในกรณีที่สัดส่วนหุ้นต่อตราสารหนี้เปลี่ยนแปลงเกิน 5% 

เช่น หากเกิดวิกฤตตลาดหุ้น ทำให้สัดส่วนของหุ้นลดลงจาก 80% เหลือ 74% และสัดส่วนตราสารหนี้เพิ่มขึ้นมาจาก 20% เป็น 26% ระบบก็จะขายตราสารหนี้ออก 6% ให้กลับมาเป็น 20% ดังเดิม และนำเงินไปซื้อหุ้นเพิ่ม 6% ให้กลับมาเป็น 80% ดังเดิม

ซึ่งการทำแบบนี้ก็เป็นไปตามหลักการลงทุนที่ถูกต้องด้วย นั้นคือ เมื่อหุ้นตก ก็ขายพันธบัตรมาช้อนหุ้น พอหุ้นขึ้น ก็ขายหุ้นทำกำไร แล้วไปซื้อพันธบัตรแทน การปฏิบัติแบบนี้ไปเรื่อยๆ อย่างมีวินัย เป็นอีกหัวใจหนึ่งของการลงทุนให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม หากระหว่างการลงทุนสัดส่วนของหุ้นต่อตราสารหนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเกิน 5% เลย เช่น หุ้นเพิ่มขึ้นจาก 80% เป็น 81% ส่วนตราสารหนี้ก็ลดจาก 20% เป็น 19% ในกรณีนี้ เมื่อครบ 1 ปี Jitta Wealth ก็จะปรับพอร์ตให้กลับมาอยู่ที่ 80:20 เหมือนเดิมโดยอัตโนมัติ

รายละเอียดค่าธรรมเนียม

Global ETF จะคิดค่าธรรมเนียมไม่เหมือนนโยบายลงทุน Jitta Ranking กล่าวคือ Global ETF นั้นจะไม่คิดค่าธรรมเนียมตามกำไร (performance fee) 

คิดเพียงค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ (management fee) ปีละ 0.5% เท่านั้น

นอกจากนี้จะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกเล็กน้อย เป็นค่าใช้จ่ายตามจริง เรียกเก็บโดยผู้ให้บริการ เช่น ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ETF ค่าผู้รักษาสินทรัพย์ (custodian) และค่าโอนเงินไปกลับต่างประเทศ ซึ่งสามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่

สนใจลงทุนกองทุนส่วนบุคคล Global ETF ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.jittawealth.com หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Jitta Wealth เพื่อเปิดบัญชีที่นี่