by Jitta
วันที่ 5 เม.ย. 2560 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 24 ต.ค. 2560
หลักการลงทุนที่ปลอดภัยในยามที่ตลาดหุ้นผันผวนวุ่นวาย

หลักการลงทุนที่ปลอดภัยในยามที่ตลาดหุ้นผันผวนวุ่นวาย นอกจากการลงทุนในธุรกิจที่ดีที่มีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอหรือเพิ่มขึ้นทุกปีแล้ว อีกวิธีนึงที่ดีก็คือ การลงทุนแบบหาส่วนต่างกำไรจากราคาหุ้น (Stock Arbitrage) แบบชัวร์ๆครับ

ที่ว่าแบบชัวร์ๆก็คือ เราต้องมั่นใจได้ว่า เมื่อเราซื้อหุ้นไปแล้ว เราสามารถนำไปขายได้เมื่อไหร่ในอนาคต ในราคาเท่าไหร่ และจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเท่าไหร่ครับ (ซึ่งจะแตกต่างจากการซื้อหุ้นแล้ว หวังให้หุ้นขึ้นในระยะสั้นๆแล้วขาย แบบไม่มีเหตุผลนะครับ)

วิธีการนี้นักลงทุนจำนวนมากใช้กันเสมอเมื่อมีโอกาส แม้กระทั่ง Warren Buffett เองก็ใช้ทุกครั้งที่มีโอกาส (ในสมัยหนุ่มๆที่เงินลงทุนยังไม่มากมายเหมือนทุกวันนี้ครับ)

วิธีการลงทุนแบบ Stock Arbitrage ที่ง่ายที่สุดและชัวร์ที่สุดนั้น ก็คือ

  • การคอยดูว่าจะมีบริษัทไหนในตลาดหลักทรัพย์ที่ประกาศการถูกเข้าซื้อกิจการบ้าง
  • ราคาหุ้นที่ถูกเสนอซื้ออยู่ที่เท่าไหร่ และจะมีการทำคำเสนอซื้อวันไหน
  • ราคาหุ้นในตลาดหุ้นอยู่ที่เท่าไหร่ และเราจะได้ผลตอบแทนประมาณเท่าไหร่

ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น ตอนที่ CPALL ประกาศว่าจะซื้อ MAKRO ในราคา 787 บาท ในช่วงที่กำลังรอผู้ถือหุ้นอนุมัติการซื้อกิจการครั้งนี้ ราคาหุ้นอยู่ที่ราวๆ 756 บาท เท่ากับว่าถ้าหากดีลนี้ได้รับการอนุมัติ และการควบรวมกิจการสำเร็จได้ด้วยดีในอีก 4 เดือนข้างหน้า

เราจะได้กำไรประมาณ (787-756)/756 = 4.1% ภายในเวลา 4 เดือน หรือเทียบได้ประมาณ 12.3% ต่อปีครับ

(ตัวเลขราคากับระยะเวลา อาจจะไม่ถูกต้องเป๊ะตามที่เขียนนะครับ ผมเขียนเอาจากความทรงจำ เพื่อยกเป็นตัวอย่าง แต่น่าจะอยู่ที่ราวๆนี้ครับ รวมทั้งไม่ได้นำเรื่องค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหุ้นมาคิดรวม เพื่อความง่ายในการคำนวณครับ)

ดังนั้นสิ่งที่เราต้องวิเคราะห์ในการทำกำไรจากการลงทุนด้วยวิธีนี้คือ การซื้อกิจการนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นจริงมากน้อยแค่ไหน และผลตอบแทนที่ได้รับต่อปีนั้นคุ้มค่ามากแค่ไหนครับ อย่างกรณีของ Warren Buffett นั้น ต้องการการลงทุนที่ปลอดภัยมากที่สุด ก็จะรอจนมั่นใจได้ว่า การควบรวมกิจการเกิดขึ้นแน่ๆ แล้วค่อยไปดูว่าราคาหุ้นในตลาด ณ วันนั้น ซื้อได้ในราคาเท่าไหร่ ถ้าหากว่าซื้อแล้วได้รับผลตอบแทนต่อปีอย่างน้อย 10% ก็สามารถลงทุนได้ครับ

ซึ่งด้วยวิธีแบบนี้ อารมณ์หรือความวุ่นวายของตลาดหุ้นจะไม่มีผลให้ราคาหุ้นแกว่งเท่าไหร่ครับ เพราะมีราคากำหนดตายตัวอยู่แล้วในวันที่จะทำเรื่องซื้อหุ้นเพื่อควบรวมกิจการในอนาคต ทำให้เราคาดการณ์ผลตอบแทนได้ชัดเจนมาก

มาดูตัวอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นจริงกับกรณีของบริษัทไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย (SCSMG) ที่เพิ่งมีประกาศออกมาว่า ทางธนาคารไทยพาณิชย์ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เตรียมขายหุ้น SCSMG ให้กับ ACE Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทประกันภัยระดับโลก

โดยหลักๆก็สรุปได้ดังนี้

  • ACE จะซื้อหุ้น SCSMG ในราคาหุ้นละ 27.6 บาท จากธนาคารไทยพาณิชย์ และ ผู้ถือหุ้นทุกคน
  • การซื้อขายน่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 2 ของปี 2557
  • การซื้อขายยังขึ้นอยู่กับเงื่อนไขบางประการ เช่น การได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การตรวจสอบสถานะกิจการของ SCSMG การได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้น เป็นต้น

ดังนั้นจากข้อมูลเหล่านี้ เราจะเห็นว่าดีลการซื้อกิจการนี้มีโอกาสค่อนข้างสูงมาก เพราะ

  1. บนหน้าเว็บของ SCSMG มีประกาศถึงเรื่องการขายกิจการครั้งนี้อย่างจริงจัง แสดงให้เห็นว่าธนาคารไทยพาณิชย์ต้องการขายหุ้น SCSMG ออกไปจริงๆ และ ธนาคารไทยพาณิชย์ถือหุ้นอยู่เกิน 50% ใน SCSMG อยู่แล้ว ดังนั้นไม่น่ามีปัญหาในการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นเพื่อให้มีการขายกิจการ
  2. ACE Group เป็นกลุ่มบริษัทประกันภัยจากอเมริกาที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก (วัดตามมูลค่าการตลาด) ซึ่งก็กำลังอยู่ในช่วงขยายกิจการมาในแถบตลาดเกิดใหม่ และ ACE ก็มีฐานะทางการเงินที่ดี มีเงินเพียงพอที่จะซื้อหุ้น SCSMG ทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นได้ไม่มีปัญหา พร้อมทั้งมีประวัติในการเข้าซื้อกิจการประกันในประเทศต่างๆสำเร็จด้วยดีมาแล้วมายมาย

เมื่อฝั่งผู้ขายอยากขาย ฝั่งผู้ซื้ออยากซื้อและมีเงินพร้อมซื้อ ก็น่าจะตกลงซื้อขายกันได้ไม่มีปัญหาอะไร ยกเว้นแต่เพียงมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเท่านั้น เช่น อยู่ๆ ACE ไปเจออะไรที่ซุกซ่อนไว้ในงบการเงินของ SCSMG เลยขอระงับการเข้าซื้อกิจการเป็นต้น

ดังนั้นถ้าหากว่าเรามั่นใจว่าการซื้อขายครั้งนี้เกิดขึ้นแน่นอน เราก็ไปดูราคาหุ้น SCSMG ในตลาดหลักทรัพย์ก็จะเห็นว่าราคาอยู่ที่ 26.75 บาท ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2557 ดังนั้น ถ้าหากเราคิดว่าการควบรวมครั้งนี้จะเสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายน (ตามที่บริษัทให้ข้อมูล) แสดงว่า ถ้าหากเราซื้อหุ้น SCSMG วันนี้ที่ 26.75 บาท แล้วไปขายตอนวันที่ 3 มิถุนายน ในราคา 27.6 บาท เราจะได้ผลตอบแทนการลงทุนประมาณ 3.17% ภายในระยะเวลา 4 เดือน หรือประมาณ 9.53% ต่อปีครับ ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีครับ แต่ก็ยังไม่ถึง 10% ต่อปีตามเกณฑ์การลงทุนที่ดีครับ

ดังนั้นถ้าเจอแบบนี้เราก็อาจจะรอไปอีกสักพัก เพื่อให้ใกล้เวลาที่จะควบรวมมากขึ้น แล้วไปดูราคาอีกทีก็ได้ครับ ถ้าหากว่าคุ้มค่าก็ค่อยเข้าไปลงทุนตอนนั้นก็ได้ เช่น สมมติวันที่ 4 เมษายน มีการประกาศซื้อกิจการเรียบร้อย และราคาหุ้นอยู่ที่ 27 บาท เท่ากับว่า เราจะได้ผลตอบแทน 2.22% ในระยะเวลา 2 เดือน หรือเท่ากับประมาณ 13.33% ต่อปี ก็ถือว่าคุ้มค่าในการลงทุนแล้วครับ

แต่บางทีรอไปใกล้ๆ ก็อาจจะทำให้ราคาขึ้นสูงจนใกล้ราคาเสนอซื้อ จนผลตอบแทนลดลงก็ได้ครับ ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับแผนการลงทุน และ ผลตอบแทนในการลงทุนที่เราต้องการครับว่าจะซื้อหรือไม่ และ ซื้อในช่วงเวลาไหนครับ อย่างผมเองก็ยึดแนว Warren Buffett เป็นหลักครับ คือ รอให้มั่นใจและค่อยไปดูราคา ถ้าหากได้ผลตอบแทนมากกว่า 10% ต่อปี ก็ค่อยลงทุนครับ

ทั้งนี้ผมยกเรื่องของ SCSMG มาให้ดูเป็นตัวอย่างง่ายๆนะครับ ถ้าหากใครสนใจก็ลองไปวิเคราะห์เพิ่มเติมได้นะครับ พร้อมทั้งอาจจะเข้าไปดู Jitta Score กับ FactSheet ของหุ้น SCSMG และ ACE ใน Jitta ประกอบด้วยก็ได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ACE เป็นบริษัทประกันที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ดังนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการเข้าซื้อ SCSMG แน่นอน และ SCSMG มีผลการประกอบกิจการที่ไม่ค่อยดี ดังนั้นไทยพาณิชย์อยากขายแน่นอนครับ

สรุปการลงทุนแบบ Stock Arbitrage ก็ปลอดภัยดีครับ เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยง แต่จะลงทุนได้ก็ต้องคอยติดตามข่าวและต้องมีการวิเคราะห์เพิ่มเติม เพราะการลงทุนในกรณีนี้ควรจะลงทุนเมื่อมั่นใจได้เกือบๆ 100% ว่าการซื้อขายกิจการจะไม่มีอะไรผิดพลาดครับ ถ้าแค่ออกมาเป็นข่าวลืออะไรพวกนี้ไม่ควรจะไปเชื่อครับ รอให้บริษัทประกาศออกมาเป็นทางการจะมั่นใจได้มากกว่าเยอะครับ

แต่ถ้าหากเราไม่ต้องการวุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ ก็ยึดมั่นในหลักการ

Buy a wonderful company at a fair price
– Warren Buffett

และใช้ Jitta ในการมองหาบริษัทที่ยอดเยี่ยมเพื่อลงทุนระยะยาวเหมือนเดิมต่อไปได้อยู่ดีครับ เพราะในระยะยาวแล้วผลตอบแทนที่ได้ก็ยังเหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นอยู่ดีครับ

สำหรับตัวผมเองก็จะเลือกลงทุนระยะยาวในธุรกิจที่ยอดเยี่ยมก่อนเสมอครับ เพราะในระยะยาวแล้วจะสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด และ ทำให้เรามีเวลาว่าง และ สบายใจมากที่สุดครับ