by Natchaipat Somchun
วันที่ 24 มิ.ย. 2563 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 25 มิ.ย. 2563
Tech สหรัฐฯ vs Tech จีน เหมือนหรือต่าง? และโอกาสการลงทุน

ไฮไลท์

  1. บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเเละเน้นไปที่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชาวอเมริกันที่ดีอยู่เเล้วให้ดีขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีในจีนมีเป้าหมายในการตอบโจทย์คนหมู่มากในประเทศเพื่อที่จะเติมเต็ม Market Opportunity ที่มีอย่างมหาศาลในขณะนี้
  2. ทำความเข้าใจความเสี่ยงหุ้นเทคโนโลยี โดยต้องเข้าใจลักษณะสำคัญของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนเเปลงอย่างรวดเร็วตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนเเปลงอยู่ตลอดเวลา
  3. เทคโนโลยีในประเทศจีนมักจะมีความเสี่ยงมากกว่าเทคโนโนโลยีในประเทศสหรัฐฯ เพราะเทคโนโลยีของประเทศอเมริกาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมมานานเเล้ว ส่วนเทคโนโลยีในจีนมีความเสี่ยงที่สูงกว่าเนื่องจากการเเข่งขันที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  4. สิ่งสำคัญในการเลือกลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีคือเเนวโน้มของเทคโนโลยี เเละโมเดลธุรกิจที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเเต่ละบริษัทที่คุณสนใจลงทุน

ดูย้อนหลัง

หุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯ

ธรรมชาติของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ จะมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนเเปลง หรือประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ (revolution) เพื่อยกระดับสภาพความเป็นอยู่ของคนในประเทศ ที่กินดีอยู่ดีมาตั้งเเต่อดีต ดังนั้นโมเดลธุรกิจของบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ในสหรัฐฯ จึงค่อนข้างเเปลกใหม่ จะประสบความสำเร็จได้ ก็ต้องสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคได้

บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ จะมีหลักการดำเนินธุรกิจที่เน้นความเฉพาะทางของบริษัท เช่น Amazon ขายหนังสืออยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่จะขยายตลาดไปขายสินค้าอื่นๆ ทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในประเทศสหรัฐฯ มีการเติบโตที่ค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับบริษัทในประเทศจีน

หุ้นเทคโนโลยีในจีน

ความเป็นอยู่ของคนจีนในปัจจุบันอยู่ในช่วงเปลี่ยนเเปลงมากที่สุด จากเคยลำบากก็เริ่มมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้บริษัทเทคโนโลยีตอบโจทย์ความต้องการด้วยการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนด้วยเทคโนโลยี

ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยีจึงปรับเปลี่ยนตามความต้องการของชาวจีน เเละการที่ประเทศจีนมีประชากรจำนวนมาก ทำให้ Market Opportunity ใหญ่ตามไปด้วย บริษัทเทคโนโลยีในจีนที่สามารถตอบโจทย์ชาวจีนได้จะเติบโตรวดเร็วหลายเท่าตัว เเต่สิ่งที่ตามมาก็คือการเเข่งขันที่สูงกว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ จึงมีโอกาสสูงมากที่บริษัทเกิดใหม่ในจีนจะต้องปิดตัวลงภายในไม่กี่ปี

ธุรกิจที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงมากเเล้ว เช่น Tencent หรือ Alibaba จะสามารถตัดความเสี่ยงเหล่านี้ออกไปได้เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีส่วนเเบ่งตลาดสูงมากเกินกว่าที่จะมีบริษัทอื่นมาเเข่งได้ เเละบริษัทสตาร์ทอัพที่เกิดขึ้นใหม่ สุดท้ายก็ต้องควบรวม ไม่กับบริษัทใดก็บริษัทหนึ่ง

วิธีเลือกลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของทั้งจีนเเละสหรัฐฯ

การเลือกลงทุนในหุ้นใดๆ ก็ตาม คุณต้องศึกษาให้รู้จักบริษัทนั้นๆ เเละเข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

หุ้นเทคโนโลยีจะมีความเสี่ยงหลักจากการที่เทคโนโลยีในปัจจุบันเปลี่ยนเเปลงบ่อยเเละรวดเร็ว การเเข่งขันสูงมาก ดังนั้น การศึกษาเเละทำความเข้าใจกับความเสี่ยงเหล่านี้ จึงมีความสำคัญมากสำหรับผู้ที่สนใจจะลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

โดยความเสี่ยงมี 3 ประเด็นที่คุณควรพิจารณาเป็นพิเศษ

1. ความสามารถในการรับความเสี่ยงของนักลงทุน

คุณควรรู้ว่าตนเองสามารถรับความเสี่ยงได้มากเท่าไร เพราะหุ้นเทคโนโลยีของจีนมีลักษณะเติบโตเร็ว เเต่มีความเสี่ยงสูงมาก ในทางกลับกันหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีความมั่นคงมากกว่า จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่า เเต่ก็เเลกมาด้วยการเติบโตที่ช้ากว่า ถ้าคุณอยากได้ผลตอบเเทนสูงเเละสามารถรับความเสี่ยงได้มาก หุ้นเทคโนโลยีของจีนก็จะตอบโจทย์ แต่ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อย หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ อาจจะเป็นทางเลือกที่เหมาะกับคุณมากกว่า

หรือคุณอาจจะเลือกลงทุนในทั้ง 2 ประเทศเลย และจัดสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ กับจีนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ เช่น หากคุณรับความเสี่ยงได้ไม่มาก ก็อาจจะลงทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูงกว่าหุ้นเทคโนโลยีจีน

2. เเนวโน้มของเทคโนโลยี

เเนวโน้มของเทคโนโลยีในอนาคตก็น่าจะช่วยคุณตัดสินใจได้เป็นอย่างดี

เทคโนโลยีที่เป็นที่นิยมอยู่เเล้ว ก็จะค่อนข้างมั่นคง มีความเสี่ยงต่ำกว่า ถ้าคุณสนใจแนวนี้ ก็เลือกลงทุนในกองทุนหุ้นเทคโนโลยีแบบ large cap ในจีน หรือสหรัฐฯ ก็ได้ ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เหล่านี้ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ประมาณปีละ 20% เพราะยังมีช่องว่างในตลาดให้ขยายตัวได้อยู่

หรือคุณจะเลือกลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ เลยก็ได้ เพราะดัชนี S&P 500 จะเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมากกว่า 10% เเถมด้วยการกระจายความเสี่ยงที่ดีมาก

ส่วนหุ้นเทคโนโลยีที่เริ่มได้รับความนิยม หรือคาดว่าจะได้รับความนิยมในอนาคต มีโอกาสสร้างผลตอบเเทนสูง เพราะสามารถเติบโตได้ถึง 30-50% ต่อปี เช่น กลุ่มธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ (software as a service) หรือกลุ่มบริษัทที่ทำ cloud computing ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ เช่น Zoom ผู้นำตลาดซอฟต์แวร์ online conference ตั้งเเต่ก่อนเกิดวิกฤต Covid-19 ตอนนั้นรายได้นอกสหรัฐฯ เติบโตประมาณ 20% แต่พอเกิด Covid-19 ระบาด รายได้ประเทศของ Zoom เติบโตสูงถึง 300% และยังมีโอกาสขยายตลาดอีกเยอะ

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่เพิ่งได้รับความนิยม หรือคาดว่าจะได้รับความนิยมในอนาคต มีความเสี่ยงสูงหากเทคโนโลยีหมดความนิยม หรือเเพ้ให้กับบริษัทคู่เเข่ง เพราะถ้าบริษัทเกิดใหม่ทำสิ่งเดียวกันได้ดีกว่า ลูกค้าติดมากกว่า ก็ยากที่จะแข่งขัน ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดลดลงเรื่อยๆ จนอาจถูกบีบให้ปิดกิจการได้

3. โมเดลลธุรกิจที่ดี

โมเดลธุรกิจหุ้นเทคโนโลยีที่ดี ประกอบไปด้วยความสามารถในการเเข่งขันสูง จากการที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทอำนวยความสะดวกลูกค้าได้ดี เเละทำให้ลูกค้าติดจนยากที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการของบริษัทคู่เเข่ง ซึ่งในปัจจุบันบริษัทไหนที่มีข้อมูลลูกค้าเยอะ ต้นทุนการเปลี่ยนผู้ให้บริการ (switching cost) สูง สามารถทำรายได้จากลูกค้าเก่าได้มากขึ้น (net dollar expansion) เเละผลิตภัณฑ์ฝังรากลึกลงไปในชีวิตประจำวันของผู้ใช้บริการ ก็จะได้เปรียบเหนือคู่เเข่ง

ถึงเเม้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของทั้งสองประเทศจะมีลักษณะเเตกต่างตามที่ได้กล่าวมา เเต่สิ่งสำคัญสำหรับการเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ คือเริ่มต้นจากบริษัทที่คุณคุ้นเคยอยู่เเล้ว เข้าใจธุรกิจของบริษัทนั้นได้ง่าย

ภาพรวมในอนาคต บริษัทเทคโนโลยีของจีนเเละสหรัฐฯ ยังมีเเนวโน้มที่จะเติบโตได้อีกทั้งคู่ เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีของทั้งสองประเทศมีการประหยัดเนื่องมาจากขนาด (economies of scale) ที่สูงจากจำนวนประชากรมหาศาล