by Monsicha Hoonsuwan
วันที่ 12 มี.ค. 2563 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 12 มี.ค. 2563
10 หุ้นไทยภูมิคุ้มกันแข็งแรงน่าสนใจ ในวันที่ตลาดแห่ Sale จนต้องปิดเบรค

ในวันที่ตลาดหุ้นไทยปิดตัวทำจุดต่ำสุดในรอบหลายปี…

ในวันที่หลายคนอกสั่นขวัญแขวน ฟังข่าวแล้วจิตตก แต่ไม่รู้จะทำตามคำแนะนำของใครดี…

“ตระหนัก แต่อย่าตระหนก”

เป็นคำพูดเตือนใจที่ดีทีเดียว 

ไม่ใช่แค่เรื่องการดูแลตัวเองในช่วงโรคระบาดเพียงเท่านั้น

แม้แต่เรื่องการลงทุนในช่วงนี้ก็เหมือนกัน ในฐานะพลเมืองและนักลงทุนที่ดี เราต้องเฝ้าดูสถานการณ์อย่างมีสติ ใช้วิจารณญาณเมื่อฟังข่าวต่างๆ ไม่พลั้งมือทำอะไรด้วยอารมณ์ตื่นตระหนก เพราะอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีได้

เพื่อให้คุณมองเห็น และเข้าใจสภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงวิกฤตโควิด-19 ได้ดียิ่งขึ้น ทางทีมงานจึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยหลังโรคระบาดตั้งแต่โรคซาร์สในปี 2546 จนถึงไข้ซิกาในปี 2559 

แถมด้วยหุ้นไทยที่พื้นฐานแข็งแกร่ง ผ่านโรคระบาดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง น่าช้อนเก็บในช่วงตลาดหุ้นตกแบบนี้ มาฝากกัน

ตลาดหุ้นไทยหลังทุกโรคระบาด

ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยหลังเกิดทุกโรคระบาดในช่วงเวลาต่างๆ

จากสถิติที่เรารวบรวมมาให้นี้ จะเห็นได้ว่า โรคระบาดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2546 โดยรวมแล้วไม่ได้ส่งผลกระทบตลาดหุ้นไทยมากนัก 

1 เดือนหลังจากเกิดโรคระบาด ตลาดหุ้นไทยบวกขึ้นมาเฉลี่ย 1.92% และ 1 ปีหลังเกิดโรคระบาด ตลาดบวกขึ้นมาถึง 19.80% ซึ่งดีกว่าการเติบโตของตลาดหุ้นไทยโดยเฉลี่ย เพราะผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นของตลาดหุ้นไทยใน 43 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2518 จนถึงปี 2560 อยู่ที่ 11.87% เท่านั้น

สำหรับวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้นั้น ครบรอบ 1 เดือนตลาด -0.22% ยังถือว่าน้อยกว่าช่วง MERS ที่ตลาด -13.91%

โดยหมวดธุรกิจที่ภูมิต้านทานดี ฟื้นตัวกลับขึ้นมาสร้างผลตอบแทนภายใน 1 ปีหลังวิกฤตได้เฉลี่ยสูงที่สุด คือหมวดบริการเฉพาะกิจ ซึ่งครอบคลุมบริการเฉพาะด้านต่างๆ ที่ไม่ถูกจัดอยู่ในหมวดธุรกิจไหนเป็นพิเศษ เช่น บริการด้านการศึกษา ที่ปรึกษาทางธุรกิจ และผู้ให้บริการบำบัดของเสีย ส่วนหมวดธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์เป็นหมวดที่ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นน้อยที่สุด

ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปีหลังเกิดทุกโรคระบาด รายหมวดธุรกิจ

ที่น่าสังเกต คือ หมวดธุรกิจที่ช่วงนี้กำลังเป็นประเด็นพูดถึงกันมากมาย อย่างหมวดการแพทย์ ขนส่งและโลจิสติกส์ พลังงานและสาธารณูปโภค ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ และเงินทุนและหลักทรัพย์นั้น เป็นกลุ่มที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปีหลังโรคระบาดเพิ่มขึ้นสูงอันดับต้นๆ และสูงกว่าอัตราการเติบโตของ SET โดยเฉลี่ยอีก 

ส่วนหมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปีหลังโรคระบาด แม้จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ SET แต่ก็ยังเป็นบวก

นอกจากนี้ เรายังเห็นแพทเทิร์นอีกด้วยว่า ในระยะสั้น 1 เดือนหลังโรคระบาด สัดส่วนหุ้นที่กำไรกับขาดทุนจะใกล้เคียงกันเกือบ 50-50  

แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานขึ้น จำนวนหุ้นที่ขาดทุนก็ลดลง กลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดทำกำไร ดึงให้ผลตอบแทนของตลาดเป็นบวกในระยะยาวนั่นเอง

จำนวนหุ้นที่กำไร เทียบกับขาดทุน หลังเกิดทุกโรคระบาดในระยะเวลาต่างๆ

ซึ่งก็เป็นไปตามสัจธรรมของตลาดหุ้น

เป็นความจริงที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีวันตาย ไม่ว่าจะโรคซาร์ส ไข้หวัดนก หรืออีโบลา ตลาดหุ้นระยะสั้น มักจะผันผวนมากกว่าในระยะยาวเสมอ 

เพียงแค่คุณเข้าใจ และยอมรับธรรมชาติของตลาดหุ้นตรงนี้ได้ คุณก็จะสามารถลงทุนได้อย่างมีความสุข สบายใจยิ่งขึ้น

ที่สำคัญ คุณจะตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่า คุณจะจัดการกับเงินของคุณอย่างไรเมื่อตลาดหุ้นตก!

ธุรกิจแกร่งที่ฟื้นตัวดีหลังทุกโรคระบาด

เราลองคัดกรองหุ้นที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปีหลังโรคระบาดเป็นบวก และ Jitta Score ปัจจุบัน 5 ขึ้นไป เพื่อหาธุรกิจน่าลงทุนที่ฟันฝ่าอุปสรรคมาได้แบบผู้ชนะ พบว่า…

มีธุรกิจเข้าเกณฑ์ทั้งหมด 126 หุ้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นหุ้นในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 21.4% การเงิน 16.7% สินค้าอุตสาหกรรม 12.7% และสินค้าอุปโภคบริโภค 11.9%

หุ้นที่ผลตอบแทนหลังโรคระบาด 1 ปีเป็นบวก รายกลุ่มธุรกิจ

เบื้องต้นอาจจะมองได้ว่า โดยรวมแล้วหุ้นในกลุ่มธุรกิจเหล่านี้มีภูมิคุ้มกันดี ราคาหุ้นฟื้นตัวกลับมาทำกำไรได้ภายใน 1 ปีหลังทุกโรคระบาด 

หุ้นที่ Jitta Score ปัจจุบัน 5 ขึ้นไป และทำผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปีหลังเกิดโรคระบาดได้สูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บริษัทผลิตเนื้อไก่และหมู TFG บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป ที่ 414.81% และธุรกิจค้าปลีกและส่งสินค้าอุปโภคบริโภค TNP บริษัท ธนพิริยะ ที่ 170.83% และ BH หรือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่ 160.89%

ทีนี้ก็รู้แล้วว่า BH มีดีอะไร BDMS (กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ) ถึงสนใจเข้าซื้อ!

แต่ด้วยความ “ภูมิต้านทานสูง” ของหุ้นกลุ่มสุขภาพและโรงพยาบาล ซึ่งรวมถึง BH และคู่แข่งอื่นๆ อย่างสมิติเวช SVH โรงพยาบาลรามคำแหง RAM และโรงพยาบาลวิภาวดี VIBHA ทำให้แม้ปัจจุบันตลาดหุ้นจะตกลงมาหนักหน่วงแค่ไหน ราคาของหุ้นเหล่านี้ก็ยังคงแพงกว่า Jitta Line ค่อนข้างเยอะ โดย BH นั้นแพงกว่า Jitta Line 95.97% ในขณะที่ BDMS นั้นแพงกว่า Jitta Line ถึง 138.69% ทีเดียว (ตามราคา ณ วันที่ 9 มี.ค. 63)

แม้ว่าราคาของหุ้นหลายๆ ตัวจะปรับลดลงมาเยอะแล้ว แต่การซื้อหุ้นในราคาที่แพงกว่า Jitta Line มากเกินไป ก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุน 

คุณจึงควรพิจารณางบการเงินของหุ้นเหล่าให้ถ้วนถี่ หากมองว่าโอกาสการเติบโตของธุรกิจ ราคาหุ้น และเงินปันผล ไม่คุ้มค่ากับการซื้อหุ้นในราคาที่แพงขนาดนี้ ต่อให้ราคาลดลงมาแค่ไหน ก็ยังไม่ควรเข้าซื้ออยู่ดี

10 “หุ้นดีราคาถูก” ภูมิคุ้มกันโรคระบาดดีเยี่ยม

เพื่อให้พบ “หุ้นดีราคาถูก” ที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายโรคระบาด และพลิกฟื้นกลับมาทำกำไรได้ภายใน 1 ปีหลังโรคระบาดอย่างสม่ำเสมอ เราจึงต้องดูราคาหุ้นเทียบกับ Jitta Line เพิ่มเติมด้วย

เราเลยนำหุ้นทั้ง 126 ตัว ที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปีหลังโรคระบาดเป็นบวก และได้คะแนน Jitta Score 5 ขึ้นไป มาจัดอันดับ โดยคำนึงถึง “ราคาที่เหมาะสม” ตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. ให้คะแนนหุ้นที่ Jitta Score สูงที่สุดเป็น 1 คะแนน อันดับที่ 2 เป็น 2 คะแนน และอันดับที่ 3 ได้ 3 คะแนน ไล่ไปจนครบ 126 หุ้น
  2. ให้คะแนนหุ้นที่ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงที่สุด 1 คะแนน อันดับที่ 2 เป็น 2 คะแนน และอันดับที่ 3 เป็น 3 คะแนน ไล่ไปจนครบ 126 หุ้น
  3. ให้คะแนนหุ้นที่ราคาอยู่ต่ำกว่า Jitta Line มากที่สุด 1 คะแนน รองลงมาเป็น 2 คะแนน รองลงมาอีกเป็น 3 คะแนน ไล่ไปจนครบ 126 หุ้น
  4. นำคะแนนจากข้อที่ 1 ถึง 3 มาบวกกัน หุ้นที่ได้คะแนนรวมน้อยที่สุด คือหุ้นอันดับ 1 มากที่สุดคือหุ้นอันดับ 126
  5. ตัดหุ้นที่ราคาแพงกว่า Jitta Line ออกไป

เราก็ได้หุ้นที่น่าสนใจมา 10 อันดับแรกดังนี้

10 หุ้นดีราคาถูก ที่ฟื้นตัวดีหลังเกิดทุกโรคระบาด

แต่ก็อย่าลืมว่าหุ้นเหล่านี้ถูกคัดกรองมาด้วยราคาเฉลี่ยในระยะเวลา 1 ปีเป็นหลัก เพื่อแสดงให้เห็นว่าหุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นที่มีคนสนใจซื้อ ราคาหุ้นสามารถพลิกตัวได้ในระยะเวลาไม่นาน แถมพื้นฐานบริษัทก็ถือว่าโอเค ราคาก็ไม่แพงด้วย

ไม่ได้หมายความว่าหุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นที่เหมาะสมจะลงทุนเพื่อโอกาสการเติบโตที่ดีที่สุดในระยะยาว… 

เพราะหุ้นบางตัวพื้นฐานดี แต่ที่ผ่านมานักลงทุนให้ความสนใจน้อย ราคาใช้เวลาฟื้นกลับมานานกว่า 1 ปี หรือฟื้นกลับมาเป็นบวกน้อยกว่าหุ้นอื่นๆ ในอนาคตอาจจะกลายเป็นหุ้น 10 เด้งก็ได้ เมื่อวันที่นักลงทุน “เห็นคุณค่า”

นอกจากนี้ ผลตอบแทนที่แสดงให้ดูมาจากข้อมูลในอดีตที่ไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคตได้ เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น ไม่เหมือนกับการแพร่ระบาดครั้งก่อนๆ แม้อัตราการเสียชีวิตจะต่ำกว่าโรคซาร์สและเมอร์ส แต่เชื้อไวรัสแพร่ระบาดได้ง่ายกว่า คนติดเชื้อเยอะกว่า ก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกเป็นวงกว้าง อาจต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าในอดีต

ดังนั้น ก่อนลงทุน คุณควรจะศึกษาหุ้นแต่ละตัวให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนเสมอ และควรเน้นลงทุนระยะยาวเป็นหลัก เพราะยิ่งลงทุนนานเท่าไหร่ โอกาสขาดทุนก็ยิ่งลดลง และควรกระจายความเสี่ยงในพอร์ตให้ดี พร้อมรักษาวินัยการลงทุน ไม่ตื่นตระหนกไปตามอารมณ์ขึ้นลงของตลาด

หากต้องการดูอันดับ “หุ้นดีราคาถูก น่าลงทุนระยะยาว” คุณสามารถดูจากอันดับ Jitta Ranking ได้ และอาจจะดู Jitta Factors กับ Jitta Signs หรืองบการเงินประกอบไปด้วย เพื่อเพิ่มความรอบคอบในการตัดสินใจ ป้องกันความเสี่ยงขาดทุนถาวร