by Monsicha Hoonsuwan
วันที่ 6 ส.ค. 2563 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 7 ส.ค. 2563
ควรลงทุนหุ้นเทคตอนนี้หรือไม่

หลังจากได้เปิดตัวกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking – U.S. Tech ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ก็มีนักลงทุนที่สนใจลงทุนหุ้นเทคโนโลยี ติดต่อทีมงานเข้ามามากมาย

หลายคนวางแผนลงทุนระยะยาว 10-20 ปี และอยากให้พอร์ตเติบโตสูงที่สุด เพื่อเตรียมเงินก้อนไว้ใช้จ่ายในอนาคต

หลายคนลงทุนในประเทศไทยอยู่แล้ว แต่ด้วยความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจ จึงมองหาช่องทางกระจายความเสี่ยง

ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นอะไร ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า บริษัทเทคโนโลยีคือธุรกิจแห่งอนาคต และเป็นโอกาสทางการลงทุนที่น่าจะเติบโตให้ผลตอบแทนที่ดีต่อไปในภายภาคหน้า

แต่ก็มีสงสัยกันบ้างว่า ราคาของหุ้นเทคโนโลยีตอนนี้แพงเกินที่จะลงทุนหรือเปล่า โดยยกตัวอย่าง Salesforce ที่ราคาขึ้นมาจากต้นปี 21% หรือ Netflix ที่ราคาขึ้นมา 52% หรือ Amazon ที่ราคาขึ้นมาเกือบ 70%

หุ้นเทคโนโลยีตอนนี้แพงไปหรือเปล่า

เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม หุ้นเทคโนโลยีอาจจะ “ดูแพง”

แต่เมื่อประเมินโอกาสการเติบโตในอนาคตประกอบ หุ้นเทคโนโลยียังถือว่า “ไม่แพง”

1) เหตุผลแรกคือ มูลค่าหุ้นตามราคาตลาดหรือ market capitalization ของหุ้นเทคโนโลยีในปัจจุบันยังถือว่าค่อนข้างเล็ก เมื่อเทียบกับโอกาสทางธุรกิจที่บริษัทเหล่านี้สามารถเติบโตไปถึงได้ในอนาคต

ยกตัวอย่างเช่น

  • Zoom ผู้อยู่เบื้องหลังโปรแกรม video conference ยอดฮิตในช่วงนี้ IPO เมื่อปี 2562 ตอนนี้มูลค่าตลาดอยู่ที่ $71,629 ล้าน
  • DocuSign ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ e-Signature อันดับ 1 ของโลก IPO เมื่อปี 2561 ตอนนี้มูลค่าตลาดอยู่ที่ $39,790 ล้าน
  • Zendesk ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ที่ช่วยองค์กรรับฟัง ติดตาม และแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ IPO เมื่อปี 2557 ตอนนี้มูลค่าตลาดอยู่ที่ $10,412 ล้าน

บริษัทเหล่านี้เพิ่ง IPO มา 2-3 ปี มีมูลค่าตลาดอยู่ในช่วงหมื่นล้าน โดยที่รายได้และฐานลูกค้าหลักยังอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ธุรกิจยังไม่ครอบคลุมทั่วโลก

เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทซอฟต์แวร์รุ่นพี่อย่าง Adobe Salesforce หรือ Netflix ที่ดำเนินธุรกิจมานาน มีฐานลูกค้ากระจายอยู่ทั่วโลก จะเห็นได้ว่าบริษัทเหล่านี้มีมูลค่าตลาดสูงเป็นหลักแสนล้าน และรายได้ก็ยังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี

โดย Adobe มีมูลค่าตลาด $213,125 ล้าน Netflix $215,603 ล้าน และ Salesforce $175,560 ล้าน

จะเห็นได้ว่า หาก Zoom DocuSign หรือ Zendesk สามารถขยายฐานลูกค้าครอบคลุมทั่วโลกได้เหมือนกับ Adobe Netflix และ Salesforce ก็มีโอกาสสูงที่ market cap จะเติบโตจากหลักหมื่นล้าน เป็นหลักแสนล้าน

และนั่นหมายถึงราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า! 

2) เหตุผลที่สองคือ ราคาหุ้น เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตแล้ว ยังมี margin of safety ให้ลงทุนได้อยู่

หุ้นเทคโนโลยี จัดเป็นหุ้นประเภทเติบโตสูง หรือที่เรามักเรียกกันว่า growth stock ซึ่งแตกต่างจากหุ้นเน้นคุณค่าทั่วไป (value stock) ตรงที่การเติบโตของรายได้สูงมาก แต่บางครั้งอาจไม่มีกำไร ทำให้ P/E ใช้ดูความถูกแพงของหุ้นไม่ค่อยได้

นั่นก็เพราะ บริษัทเทคโนโลยีเป็นบริษัทที่ “บวมเงินสด” คือ ถือเงินสดไว้เยอะมาก เพราะพอสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาแล้ว ก็แทบจะไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่ม แต่ขายของเพิ่มรายได้ได้เรื่อยๆ

ส่วนบางธุรกิจที่ดูไม่มีกำไร หรือ earnings ให้เอาไปคิด P/E ก็เพราะหารายได้มาเท่าไหร่ ก็นำไปต่อยอดหาลูกค้ามาเพิ่ม เพื่อสร้างรากฐานรายได้ในอนาคตให้มั่นคงยิ่งขึ้น และนำข้อมูล big data ที่ได้จากฐานลูกค้า มาพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างจุดแข็งให้โดดเด่นเหนือคู่แข่งอีก

เมื่อพบว่ารายได้คืออาหารหลักที่หล่อเลี้ยงธุรกิจเทคโนโลยีเหล่านี้ให้เติบโตอย่างยั่งยืน  นักวิเคราะห์จึงนิยมใช้อัตราส่วนที่อิงกับรายได้ของธุรกิจมาประเมินมูลค่าหุ้น เช่น ราคาต่อยอดขายในอีก 12 เดือนข้างหน้า (forward price/sale) หรือมูลค่าสุทธิของกิจการต่อรายได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า (forward enterprise value/revenue)

พอคำนวณออกมาแล้ว หุ้นเทคโนโลยีหลายตัวอาจจะยัง “ดูแพง” เพราะโดยทั่วไปค่า P/S ไม่ควรจะเกิน 4 แต่หุ้นเทคโนโลยีอาจจะปาไป 9-10 หรือเกินกว่านั้น

แต่อย่าลืมว่าหุ้นเหล่านี้รายได้เติบโตสูงมาก บางตัวสูงถึง 50-60% เกณฑ์การวิเคราะห์ที่เคยใช้กับธุรกิจแบบดั้งเดิมจะไม่ค่อยมีประโยชน์นัก เกณฑ์ที่น่าจะใช้ได้ดีกว่า คือการเปรียบเทียบหุ้นเทคโนโลยีกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มเทคโนโลยีด้วยกันเอง หรืออดีตของธุรกิจรุ่นพี่ที่ดำเนินงานมานานกว่า

ลองดูตัวอย่างนี้

เปรียบเทียบกับของรุ่นพี่อย่าง Adobe Netflix และ Salesforce

คุณจะเห็นว่า หุ้นรุ่นพี่อย่าง Adobe Netflix และ Salesforce นั้น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีค่าเฉลี่ยราคาต่อยอดขาย หรือ P/S อยู่ระหว่าง 8 ถึง 12 ในขณะที่รายได้เติบโตในช่วง 20% ถึง 30% ทำให้ราคาไม่ถึงครึ่งหนึ่งของอัตราการเติบโต หรือในกรณีของ Adobe นั้น ราคาประมาณครึ่งหนึ่งของการเติบโตพอดี

เช่นเดียวกับหุ้น Zoom ที่หากมองค่า P/S เพียงอย่างเดียว ก็จะรู้สึกว่าสูงเกินไปมาก เพราะอยู่ที่ 36.28 แต่ถ้าคุณเปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตที่ 115.5% ก็จะพบว่าราคาไม่ถึงครึ่งของการเติบโต อยู่ในระดับพอๆ กับ Salesforce ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

เมื่อคุณพิจารณารายได้ของ Zoom DocuSign และ Zendesk ที่ตอนนี้แตะๆ พันล้าน หากสามารถรักษาอัตราการเติบโตอย่างนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ วันหนึ่งก็จะทำรายได้เป็นหลักหมื่นล้านเหรียญเหมือน Adobe และราคาหุ้นก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามจน market cap กลายเป็นแสนล้าน หรือประมาณ 10 เท่าภายใน 5-10 ปีข้างหน้า นั่นเอง

การซื้อหุ้นดังกล่าวที่ Forward P/S 36.28 หรือ 28.27 จึงไม่ใช่จุดที่แพงไป หากอัตราการเติบโตของรายได้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และค่า P/S ต่ออัตราการเติบโตยังอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม

ยังมีช่องว่าง margin of safety ให้คุณสร้างผลตอบแทนอย่างสบายใจอยู่ ถ้าคุณต้องการลงทุนระยะยาวในหุ้นเทคโนโลยีที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

ทั้งนี้ เมื่อคุณลงทุนหุ้นเทคโนโลยีกับ Jitta Ranking – U.S. Tech คุณยังเพิ่ม margin of safety เข้าไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะมี Jitta Ranking คอยเปรียบเทียบพื้นฐานและความเหมาะสมของราคาหุ้น ระหว่างหุ้นเทคโนโลยีด้วยกัน บนมาตรฐานเดียวกัน แล้วคัดกรองหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดมาให้คุณอย่างมีหลักการสม่ำเสมอ

นอกจากนี้เรายังปรับพอร์ตให้ทุกๆ 3 เดือน เพราะฉะนั้น บริษัทไหนรายได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มีความเสี่ยงที่มูลค่าธุรกิจจะลดลง และราคาหุ้นตกลง Jitta Ranking ก็จะช่วยกันหุ้นเหล่านี้ออกไปโดยอัตโนมัติ คุณจึงลงทุนหุ้นเทคโนโลยีได้อย่างสบายใจมากยิ่งขึ้น

ควรจะลงทุนหุ้นเทคโนโลยีตอนนี้เลยหรือเปล่า

หากคุณคาดการณ์ทิศทางของตลาดหุ้น และหุ้นเทคโนโลยีได้อย่างแม่นยำ บอกได้ค่อนข้างแน่นอนว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะออกมาเป็นอย่างไร การปิดสถานกงศุลจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และจะทำให้หุ้นเทคปรับตัวลงหรือขึ้น การรอจังหวะหุ้นตกหนักๆ ก็น่าจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้คุณได้

แต่ถ้าคุณไม่สามารถคาดการณ์ได้แบบนั้น ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะเมื่อคุณตั้งใจลงทุนระยะยาวอย่างน้อย 3-5 ปีขึ้นไปอยู่แล้ว คุณสามารถทำผลตอบแทนชนะตลาดได้โดยไม่ต้องจับจังหวะ ด้วยเทคโนโลยี Jitta Ranking

Jitta Ranking เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาเพื่อการคัดกรองหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดเพื่อการลงทุนระยะยาว โดยพิจารณาพื้นฐาน การเติบโต และมูลค่าของหุ้น

ผลตอบแทนชนะตลาดระยะยาวที่สร้างได้ จึงเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยีที่ Jitta Ranking คัดกรองมาให้ ไม่ได้เกิดจากการจับจังหวะตลาด

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณต้องการลงทุนระยะสั้น 2-3 ปี การจับจังหวะก็จะมีผลกระทบต่อกำไรที่ทำได้พอสมควร แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน อาจจะทำให้ผลตอบแทนดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้ แล้วแต่สถานการณ์ตลาดและความสามารถในการจับจังหวะของแต่ละคน

ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด คือลงทุนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป โดยเริ่มลงทุนได้ทันทีเมื่อเงินพร้อม จากนั้นก็ปล่อยให้เทคโนโลยีคัดเลือกหุ้น และปรับพอร์ตอย่างมีวินัยไปเรื่อยๆ

ที่เราเน้นย้ำให้เริ่มลงทุนเมื่อเงินพร้อมก็เพราะว่า ตอนนี้อุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่มผู้ให้บริการ cloud solutions และซอฟต์แวร์ SaaS เริ่มได้รับความสนใจเป็นอย่างสูงจากนักลงทุน

อย่างที่บอกไปว่า ตอนนี้มูลค่า market cap ของหุ้นเทคโนโลยีโดยรวมยังถือว่าเล็ก เมื่อเทียบกับมูลค่าที่บริษัทเหล่านี้สามารถไปถึงได้ในอนาคต หุ้นหลายๆ ตัว ก็เพิ่ง IPO ออกมาได้แค่ 2-3 ปีเท่านั้น 

แต่พอมี Covid-19 เข้ามา ทำให้นักลงทุนเริ่มตระหนักถึงพื้นฐานอันแข็งแกร่งของธุรกิจเทคโนโลยีเหล่านี้ เมื่อศึกษาลึกลงไป ก็เห็นโอกาสเติบโตอีกมหาศาลที่รออยู่ในอนาคต จนหุ้นเทคโนโลยีกลายเป็นนิยามใหม่ของหุ้นเติบโตไปแล้ว

เงินลงทุนจึงเริ่มไหลเข้าหุ้นธุรกิจเทคโนโลยีมากขึ้นๆ จน Nasdaq เติบโตเกือบ 20% ในช่วงครึ่งปีแรก

และด้วยรายได้ที่เติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่ราคาหุ้นจะปักหัวลงเยอะๆ ก็มีไม่มาก ยกเว้นจะมีวิกฤตที่หนักกว่า Covid-19 เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก ก็อาจจะเป็นโอกาสช้อนหุ้นเทคโนโลยีที่ดี…

แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่!

ดังนั้น การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีตอนนี้ จะทำให้คุณเป็นนักลงทุนกลุ่มแรกๆ ที่มองเห็นศักยภาพของธุรกิจเทคโนโลยีเมกะเทรนด์ใหม่ๆ 

และ Jitta Ranking – U.S. Tech จะช่วยคุณเสาะหาธุรกิจเทคโนโลยีที่พื้นฐานดี โอกาสเติบโตสูง และราคายังสมเหตุสมผล มาให้คุณจับจองเป็นเจ้าของก่อนตลาดจะรับรู้กันในวงกว้าง

ลงทุนเริ่มต้น 3 ล้านบาท คุณสามารถเปิดบัญชีได้เลยภายใน 15 นาที เพียงแค่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Jitta Wealth และเลือกแผนการลงทุน Jitta Ranking – U.S. Tech