จากข้อมูลผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยตลอด 43 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2518-2560 สรุปได้ว่า “หุ้น” เป็นทรัพย์สินที่สร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุดในระยะยาว เราจะได้รับผลตอบแทนทบต้นที่ 11.87% ต่อปี
ทำให้เงินลงทุน 10,000 บาท เติบโตขึ้นเป็นเงิน 1,243,314 บาท หรือ โตขึ้นถึง 124 เท่า อันเป็นผลตอบแทนที่ “ชนะ” การลงทุนแบบอื่นๆทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกันอย่างขาดลอย
แต่ในระยะสั้น ตลาดหุ้นก็เต็มไปด้วยความผันผวน บางปีอาจจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากกว่า 50% ในขณะที่บางปีก็อาจจะให้ผลตอบแทนติดลบมากกว่า -50% ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือ
ธรรมชาติของตลาดหุ้นและเป็นสิ่งที่เราจะต้องยอมรับให้ได้เมื่อคิดจะลงทุนในตลาดหุ้น
หากเรายอมรับได้กับความผันผวนรายปี เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจในระยะยาว คำถามถัดมาที่น่าค้นหาคำตอบก็คือ “เราควรจะต้องลงทุนในหุ้นอย่างน้อยกี่ปี ถึงจะไม่ขาดทุน” เพราะถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากที่จะขาดทุนไปนานๆ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมากำไรหรอก ใช่ไหมครับ
จริงๆแล้วการลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความน่าจะเป็นในระยะยาวอย่างมาก ถ้าเราเข้าใจในเรื่องนี้ ก็จะทำให้เราลงทุนได้อย่างสบายใจมากขึ้นเยอะครับ เพราะคล้ายกับเราเห็นอนาคตล่วงหน้าไปแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น รู้ว่าเรามีโอกาสกำไรเท่าไหร่ ขาดทุนเท่าไหร่ ในช่วงระยะเวลาการถือหุ้นที่แตกต่างกัน
คล้ายๆกับเกมโยนเหรียญครับ โดยปรกติถ้าเราโยนเหรียญนั้น ในระยะยาวแล้ว ความน่าจะเป็นที่เหรียญจะออกหัวและออกก้อยจะมีพอๆกันอยู่ที่อย่างละ 50% ใช่ไหมครับ เท่ากับว่าเกมนี้เป็นเกมที่ไม่มีแต้มต่อใดๆให้เราเอาชนะได้เลย
แต่ถ้าผมบอกว่า เหรียญที่ผมจะใช้โยนเป็นเหรียญสั่งทำพิเศษ เมื่อโยนไปแล้ว ความน่าจะเป็นที่จะออก “หัว” อยู่ที่ 80% และออก “ก้อย” อยู่ที่ 20% และถ้าหากออกหัว เราจะได้เงินรางวัลประมาณ 10% ของเงินที่ลงไป แต่ถ้าออกก้อย เราจะเสียเงินไม่เกิน 10% ของเงินที่ลงไป ถ้าเจอแบบนี้ เราจะลงเงินฝั่งออก “หัว” หรือ ฝั่งออก “ก้อย” ครับ
เชื่อได้ว่า ทุกคนต้องตัดสินใจลงเงินฝั่งออก “หัว” แน่นอน นอกจากนี้ เราก็คงอยากที่จะหาเงินมาเล่นเกมนี้ให้เยอะที่สุด และ นั่งเล่นเกมนี้ให้นานที่สุด ใช่ไหมครับ เพราะต่อให้บางครั้งเราจะทายผิด เราก็เสียเงินไม่มาก ในทางกลับกัน ถ้าเราทายถูก เราก็จะได้เงินกลับมามากกว่าครั้งที่เสียไปแล้ว และที่สำคัญคือ เรามีโอกาสทายถูกว่าออก “หัว” ถึง 8 ใน 10 ครั้ง
การลงทุนในหุ้นก็เช่นเดียวกันครับ ถ้าหากเรารู้ข้อมูลว่า “ความน่าจะเป็นที่เราจะได้กำไรและขาดทุนมีมากน้อยแค่ไหน ในแต่ละช่วงเวลาที่เราต้องการลงทุน” เราก็จะสามารถเลือกคำตอบได้ว่า “เราควรจะถือหุ้นอย่างน้อยกี่ปี ถึงจะเหมาะสมกับความผันผวนที่เรารับได้มากที่สุดครับ”
โดยข้อมูลที่เราจะนำมาใช้วิเคราะห์ตรงนี้ จะเป็นค่า Rolling returns ของตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาต่างๆกัน เช่น 3 ปี 5 ปี 10 ปี และ 20 ปี แล้วนำมาเปรียบเทียบความน่าจะเป็นที่จะกำไรหรือขาดทุนให้ดูกันครับ
โดยค่า Rolling returns คือ ค่าผลตอบแทนทบต้นต่อปี เมื่อเราถือหุ้นครบตามจำนวนปีที่กำหนดไว้ ซึ่งเราจะทำการวัดค่านี้ไปเรื่อยๆทุกๆช่วงเวลา เพื่อให้เห็นว่า ถ้าหากเราลงทุนติดต่อกันตามจำนวนปีที่กำหนด ผลตอบแทนของเราจะเป็นยังไง
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเรานำข้อมูลผลตอบแทนรายปีของตลาดหุ้นไทย 10 ปีแรก (2518-2527) มาทำ Rolling returns แบบ 3 ปี และ 5 ปี เราจะได้ตัวเลขดังนี้
ซึ่ง Rolling returns 3 ปี หมายถึงว่า
- ถ้าหากเราเริ่มลงทุนปี 2518 และถือไป 3 ปี จนถึงปี 2520 เราจะได้รับผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ 30.53% ต่อปีในช่วง 3 ปีนั้น (โดยปีแรกเราจะขาดทุน -10.58% แต่ปีที่สองกำไร 6.72% และปีที่สามก็กำไรอีก 133.05%)
- ถ้าหากเราเริ่มลงทุนปี 2519 และถือไป 3 ปี จนถึงปี 2521 เราจะได้รับผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ 54.51% ต่อปีในช่วง 3 ปีนั้น (โดยปีแรกเราได้กำไร 6.72% ปีที่สองก็กำไร 133.05% และปีที่สามก็กำไรอีก 48.32%%)
- ถ้าหากเราเริ่มลงทุนปี 2521 และถือไป 3 ปี จนถึงปี 2523 เราจะได้รับผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ติดลบ -5.05% ต่อปีในช่วง 3 ปีนั้น (โดยปีแรกเรากำไร 48.32% แต่ปีที่สองขาดทุน -37.08% และปีที่สามขาดทุนต่ออีก -8.27% )
ส่วน Rolling returns 5 ปี หมายถึงว่า
- ถ้าหากเราเริ่มลงทุนปี 2518 และถือไป 5 ปี จนถึงปี 2522 เราจะได้รับผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ 15.72% ต่อปีในช่วง 5 ปีนั้น (โดยที่แต่ละปีก็มีผลกำไรขาดทุนสลับกันไปที่ -10.58%, 6.72%, 133.05%, 48.32%, -37.08%)
- ถ้าหากเราเริ่มลงทุนปี 2522 และถือไป 5 ปี จนถึงปี 2526 เราจะได้รับผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ติดลบ -3.94% ต่อปีในช่วง 5 ปีนั้น (โดยที่แต่ละปีก็มีผลกำไรขาดทุนสลับกันไปที่ -37.08%, -8.27%, -5.53%, 27.38%, 17.75%)
จากนั้น เมื่อเรานำตัวเลข Rolling returns แบบ 3 ปี และ 5 ปี ในช่วงปี 2518-2527 มาลองวิเคราะห์ดูต่อ จะเห็นได้ว่า ยิ่งเราลงทุนในตลาดหุ้นนานขึ้นเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่เราจะขาดทุนก็ลดน้อยลงเท่านั้นครับ ทั้งโอกาสในการขาดทุน และ ตัวเลขขาดทุนสูงสุด ต่างก็ลดลงเรื่อยๆครับ
- ถ้าเราดูผลตอบแทนแค่ปีเดียว ใน 10 ปี จะมีปีที่ขาดทุนทั้งหมด 4 ปี คิดเป็น โอกาสขาดทุน 40% ของช่วงเวลาทั้งหมด และขาดทุนสูงสุดอยู่ที่ -37.08% ต่อปี
- ถ้าเราดูผลตอบแทนทุกๆ 3 ปี จะพบว่ามีทั้งหมด 8 ช่วงเวลา มีช่วงเวลาที่ขาดทุน 2 ครั้ง คิดเป็น โอกาสขาดทุน 25% ของช่วงเวลาทั้งหมด และขาดทุนสูงสุดอยู่ที่ -18.30% ต่อปี
- ถ้าเราดูผลตอบแทนทุกๆ 5 ปี จะพบว่ามีทั้งหมด 6 ช่วงเวลา มีช่วงเวลาที่ขาดทุน 1 ครั้ง คิดเป็น โอกาสขาดทุน 17% ของช่วงเวลาทั้งหมด และขาดทุนสูงสุดอยู่ที่ -3.94% ต่อปี
ตอนนี้คิดว่าทุกคนคงจะเห็นภาพกันแล้วนะครับว่า Rolling returns คืออะไร แล้วช่วยบอกความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาในการลงทุน กับ ความเสี่ยงในการขาดทุนของเรายังไงบ้าง
ต่อไปเราก็มาดูกันครับว่า ถ้าเรานำข้อมูลผลตอบแทนตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2518 – 2560 เป็นเวลา 43 ปี มาคำนวณหา Rolling returns 3 ปี 5 ปี 10 ปี และ 20 ปี แล้วนำมาเปรียบเทียบดูความน่าจะเป็นในการกำไรและขาดทุน จะทำให้เรามองเห็นอะไรบ้างครับ
เมื่อนำข้อมูลมาจัดเรียงตาม จำนวนครั้งที่กำไรและขาดทุน ในแต่ละช่วงเวลา เราจะได้ข้อมูลดังนี้
หมายถึงว่า ถ้าหากเราดู Rolling returns แบบ 3 ปี ตลอด 43 ปีที่ผ่านมา จะมีทั้งหมด 41 ช่วงเวลา โดยจะมีช่วงเวลาที่ขาดทุน 11 ครั้ง ขาดทุนมากกว่า 10% ทั้งหมด 6 ครั้ง และขาดทุนมากกว่า 20% เพียง 2 ครั้ง ในขณะเดียวกัน จะมีช่วงเวลาที่ได้กำไร 30 ครั้ง กำไรมากกว่า 10% ทั้งหมด 24 ครั้ง และ กำไรมากกว่า 20% ถึง 16 ครั้งครับ
จากนั้นนำมาคิดเพิ่มเป็นตัวเลขความน่าจะเป็นที่ เรามีโอกาสที่จะกำไรและขาดทุนได้ในแต่ละช่วงเวลาการถือครองหุ้น จะได้ตัวเลขดังนี้
หมายถึงว่า กรณี Rolling 3 ปี นั้น ตลอด 41 ช่วงเวลา โอกาสที่เราจะขาดทุนได้ก็คือ 11/41 = 26.83% และ โอกาสที่เราจะได้กำไรก็คือ 30/41 = 73.17% ครับ ตัวเลขอื่นๆ ก็คิดโอกาสที่จะเกิดขึ้นตามแต่ละช่วงเวลาเช่นเดียวกันครับ
ซึ่งจากข้อมูลทั้งหมด เราสามารถสรุปได้ว่า
- ยิ่งเราถือครองหุ้นเป็นระยะเวลานานมากขึ้นเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่เราจะขาดทุนก็จะยิ่งน้อยลง จากโอกาสที่จะขาดทุน 37.21% ถ้ามองผลตอบแทนเป็นรายปี จะลดลงเหลือ 26.83% ถ้าเราถือครองหุ้น 3 ปี และลดลงจนเหลือ 0% เมื่อเราถือครองหุ้นไป 20 ปี
- ถ้าเราถือครองหุ้นไป 20 ปี ไม่ว่าเราจะเริ่มลงทุนช่วงเวลาไหน เราจะไม่มีโอกาสขาดทุนเลย และมีโอกาสได้กำไรทบต้นมากกว่า 10% ต่อปี ถึง ⅓ ของช่วงเวลาทั้งหมด และมีโอกาสได้กำไรทบต้นมากกว่า 20% ต่อปีถึงเกือบ 1/10 ของช่วงเวลาทั้งหมด
- ต่อให้เราเริ่มลงทุนในปีที่แย่ที่สุด คือ ปี 2540 ที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบสูงสุดที่ -53.07% แต่ถ้าหากเราถือลงทุนต่อไป ในอีก 20 ปีถัดมา เราจะได้รับผลตอบแทนทบต้นที่ 6.82% ต่อปี เงินลงทุน 1,000,000 บาท จะเพิ่มขึ้น 3.74 เท่า กลายเป็นเงิน 3,741,549 บาท ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ไม่ได้แย่เท่าไหร่เลยครับ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่ปีละ 1.5% ที่ในช่วงเวลาเดียวกันจะเปลี่ยนเงิน 1,000,000 บาท ให้กลายเป็นเงินแค่ 1,346,855 บาท แค่นั้นครับ ต่างกันมากถึง 2,394,694 บาท หรือประมาณ 2.7 เท่าตัวครับ
ดังนั้นจะเห็นว่า “ถ้าเราไม่ต้องการขาดทุนจากการลงทุนในตลาดหุ้นเลย เราควรจะมีเวลาให้ถือครองการลงทุนไปได้อย่างน้อย 20 ปี” ครับ
แต่ในชีวิตจริงๆ เราอาจจะไม่ต้องเตรียมใจไว้ถึง 20 ปีก็ได้ครับ เพราะตามที่ผมได้บอกไปข้างต้นแล้วว่า การลงทุนเราควรจะต้องพยายามดูเหรียญทั้ง 2 ด้าน ทั้งโอกาสในการทำกำไร และ โอกาสในการขาดทุน เทียบกันเสมอ เพื่อให้เราตัดสินใจได้ว่า จุดที่สมดุลย์ที่สุดในการลงทุนของเราอยู่ที่ตรงไหน เพื่อให้เราสามารถทำกำไรได้อย่างที่ต้องการ ภายใต้ความเสี่ยงที่เรารับได้ครับ
กรณีที่ 1 : ถ้าหากว่าเรารับการขาดทุนได้บ้าง แต่ขอให้ขาดทุนไม่เกิน 10% เท่ากับว่า ระยะเวลาที่เหมาะสมในการถือครองหุ้นของเราคือ อย่างน้อย 10 ปี เพราะ ถ้าเราลงทุนได้ 10 ปีขึ้นไป เราจะมีโอกาสขาดทุนเพียงแค่ 20% ของช่วงเวลาทั้งหมด และ ทุกครั้งที่ขาดทุน เราไม่เคยขาดทุนเกิน 10% เลย ในทางกลับกัน เรามีโอกาสได้กำไรถึง 80% ของช่วงเวลาทั้งหมด และ เรามีโอกาสได้กำไรเกิน 10% ต่อปี อยู่มากถึง 61.76% ของช่วงเวลาทั้งหมดครับ
ตัวเลขนี้อ่านแล้วคุ้นๆไหมครับ ก็คือ ตัวเลขเดียวกับที่ผมเขียนในเกมหัวก้อยไว้ตอนต้นของบทความนั่นเองครับว่า ถ้าเราไปเจอเกมทายเหรียญที่ออกหัว 8 ใน 10 ครั้ง และครั้งที่ออก “หัว” เราจะได้กำไร 10% แต่ถ้าออก “ก้อย” เราเสียเงินไม่เกิน 10% ของเงินที่ลงไปครับ ซึ่งถ้าเราเจอเกมแบบนี้ เราก็ควรจะต้องหาเงินมาลงทุนให้มากที่สุด และอยู่ลงทุนให้นานที่สุด เพราะในระยะยาวแล้ว ยิ่งเราอยู่ในเกมนี้มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งจะได้เงินมากขึ้นเท่านั้นครับ
ดังนั้นการลงทุนในหุ้นเป็นเวลา 10 ปี ก็เช่นเดียวกันครับ แทบจะเป็นเกมที่กำหนดให้เราเป็นผู้ชนะและได้กำไรในท้ายที่สุดอย่างแน่นอนครับ ไม่ว่าเราจะเริ่มลงทุนในช่วงเวลาไหน ขอแค่ถือครองการลงทุนไปเรื่อยๆ โอกาสในการได้กำไรของเรามากกว่าขาดทุนอยู่แล้วครับ และยิ่งถ้าหากเราเพิ่มเงินลงทุนได้เรื่อยๆทุกปี ก็ยิ่งทำให้โอกาสที่ผลตอบแทนรวมของเราจะขาดทุนนั้น แทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลยครับ
กรณีที่ 2 : ถ้าหากเราเข้าใจธรรมชาติความผันผวนของตลาดหุ้นเป็นอย่างดี เราสามารถรับการขาดทุนที่สูงได้ ขอเพียงแค่ให้มีโอกาสที่จะได้กำไรมากกว่าโอกาสที่จะขาดทุน และ โอกาสที่จะได้กำไรเยอะๆ มากกว่า โอกาสที่จะขาดทุนเยอะๆ อยู่เสมอ
สำหรับกรณีนี้ ระยะเวลาที่เหมาะสมกับเราในการถือครองหุ้นก็คือ อย่างน้อย 3 ปีครับ เพราะจากข้อมูลจะเห็นว่า ถ้าเราถือหุ้นไปอย่างน้อย 3 ปี นั้น โอกาสที่จะกำไรคือ 73.17% หรือเกือบ ¾ ของช่วงเวลาทั้งหมดในขณะที่โอกาสขาดทุนของเราอยู่เพียงแค่ 26.83% หรือ ¼ ของช่วงเวลาทั้งหมดแค่นั้น
นอกจากนั้นจะพบว่า ถ้าหากเราถือหุ้นไปอย่างน้อย 3 ปี นั้น โอกาสที่จะได้กำไรมากกว่า 10% คือ 58.54% หรือเกินครึ่งนึงของช่วงเวลาทั้งหมด เทียบกับโอกาสที่จะขาดทุนมากกว่า 10% ที่มีเพียงแค่ 14.63% เท่านั้นเองครับ
ส่วนโอกาสที่ถือไป 3 ปีแล้ว เราจะขาดทุนเกิน 20% มีมั๊ย ก็ตอบว่ามี แต่ไม่มากครับ มีเพียงแค่ 4.88% ของช่วงเวลาทั้งหมดแค่นั้นครับ เทียบกับโอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนเกิน 20% ต่อปี ที่มี 39.02% ของช่วงเวลาทั้งหมด ไม่ได้เลยครับ
ด้วยแต้มต่อที่ห่างกันขนาดนี้ ก็เหมือนเป็นเกมที่กำหนดมาให้เราชนะอีกเช่นเดียวกันครับ ขอเพียงเราลงทุนแล้วถือไปให้ได้อย่างน้อย 3 ปี ความเสี่ยงของเราก็ลดลงอย่างมหาศาลแล้วครับ ในขณะที่โอกาสกำไรมีมากกว่าโอกาสขาดทุนอย่างเห็นได้ชัดครับ
แต่ทั้งนี้ขอให้เข้าใจว่า แม้โอกาสในการกำไรของเราจะมากกว่าการขาดทุน ก็อาจจะมีช่วงที่เราลงทุนในจังหวะที่ไม่ดีจริงๆและขาดทุน สิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่การหนีห่างจากการลงทุนครับ แต่คือ การลงทุนต่อไป และ ทำการลงทุนเพิ่มไปเรื่อยๆ เพราะสุดท้ายแล้ว จะทำให้ผลตอบแทนรวมของเรากลับมามากขึ้นกว่าเดิมอีกเยอะครับ
หลายคนทนความเจ็บปวดจากการขาดทุนระยะสั้นไม่ได้ ทำให้ต้องเจ็บปวดมากขึ้นจากปัญหาทางด้านการเงินระยะยาวครับ อย่าเป็นแบบนั้นนะครับ
โดยสรุปแล้ว คำถามที่ว่า “เราควรจะถือหุ้นอย่างน้อยกี่ปี ถึงจะเหมาะสมกับความเสี่ยงที่เรารับได้” ก็สามารถตอบตามข้อมูลการวิเคราะห์เป็นหลักง่ายๆ ดังนี้ครับ
- ถ้าเราไม่ต้องการขาดทุนเลย เราควรจะถือหุ้นอย่างน้อย 20 ปี
- ถ้าเราไม่ต้องการขาดทุนมากกว่า 10% เลย เราควรจะถือหุ้นอย่างน้อย 10 ปี
- ถ้าเรารับขาดทุนที่สูงได้ ขอเพียงมีโอกาสได้กำไรสูงกว่า เราควรจะถือหุ้นอย่างน้อย 3 ปี
เมื่อเราเห็นข้อมูลและตัวเลขทั้งหมดแล้ว ผมเชื่อว่า เราจะรู้สึกสบายใจในการลงทุนขึ้นอีกเยอะเลยใช่ไหมครับ เพราะถ้าเราตั้งใจลงทุนระยะยาวแล้วล่ะก็ ตลาดหุ้นคือ สถานที่ที่จะช่วยสร้างความมั่งคั่งให้เราอย่างแท้จริง โดยเราแทบจะไม่ต้องรับความเสี่ยงอะไรเลย และ ยิ่งถ้าหากเราสามารถลงทุนเพิ่มได้ต่อเนื่องเรื่อยๆทุกปีแล้ว โอกาสที่ผลตอบแทนรวมของเราจะขาดทุนก็จะน้อยลงไปอีกมาก และจะช่วยเพิ่มความมั่งคั่งให้เราได้อีกมหาศาลในอนาคตครับ ตามที่ผมได้แสดงข้อมูลให้ดูแล้วในบทความ “เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุน”
ทั้งนี้ก็ขอย้ำนะครับว่า ตัวเลขผลตอบแทนต่างๆที่นำมาแสดงในที่นี้ คือ ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยโดยรวม ไม่ใช่ผลตอบแทนของหุ้นรายตัว หรือ หุ้นกลุ่มใดกลุ่มนึงที่ไม่ได้ถูกเลือกและกระจายความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ ที่อาจจะมีความเสี่ยงมากกว่านี้ และทำให้เราขาดทุนไปตลอดก็ได้ ไม่ว่าจะถือไปกี่สิบปี
ดังนั้นถ้าหากเราต้องการลงทุนในสิ่งที่เราคาดการณ์ความผันผวน และผลตอบแทนได้ตามที่เขียนในบทความนี้ การลงทุนในกองทุนดัชนี เป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กันครับ
ส่วนการลงทุนแนว Quantitative Value Investing (QVI) นั้น เป็นสิ่งที่ตามมาครับ โดยเราควรจะต้องไปดู Rolling returns ของแนวทางการลงทุนนั้นๆ เทียบกับตลาดหุ้นว่า มีความคลาดเคลื่อนกันมากน้อยแค่ไหน
อย่างกรณีของ Jitta Ranking ที่ใช้หลัก QVI ในการเลือกลงทุนใน “หุ้นดี ราคาถูก” และทำการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมแล้วนั้น เมื่อทำ Rolling returns เทียบกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นในช่วงที่มีข้อมูลพร้อมกัน (2552-2561) ก็พบว่า ถ้าเราลงทุนอย่างน้อย 5 ปีนั้น ผลตอบแทนของ Jitta Ranking จะมากกว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยในทุกช่วงเวลาครับ
ดังนั้นสำหรับใครก็ตามที่ลงทุนตาม Jitta Ranking หรือ ลงทุนใน Jitta Wealth อยู่ ก็น่าจะพอใช้ตัวเลขด้านบนคาดการณ์ถึง ผลตอบแทนและความเสี่ยง ที่เราจะได้รับในช่วงเวลาการลงทุนต่างๆได้เช่นเดียวกันครับ เพราะในระยะยาวความเสี่ยงที่จะขาดทุนของ Jitta Ranking จะน้อยกว่าของตลาดหุ้นเสมอครับ
สุดท้าย ความผันผวน กำไร และ ขาดทุนในระยะสั้น เป็นธรรมชาติของตลาดหุ้นที่เราไปทำการเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่แล้วครับ แต่เราทุกคนสามารถลงทุนและสร้างความมั่งคั่งจากตลาดหุ้นได้แน่นอน ขอเพียงลงทุนด้วยหลักการที่ถูกต้อง นั่นก็คือ การลงทุนตามดัชนี หรือ ลงทุนตามหลัก QVI จากนั้นก็ทำการเพิ่มเงินลงทุนมาเรื่อยๆ และ ถืือครองการลงทุนให้ยาวที่สุด เพียงแค่นี้เงินลงทุนของเราก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆในระยะยาวเองครับ