by Jitta
วันที่ 17 มิ.ย. 2562 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 9 มิ.ย. 2563
บันทึกพอร์ตลงทุนของหนูไอวี่ 2 ปีแรก

29 พฤษภาคม 2562

สวัสดีค่ะ เด็กหญิงจิตตพิชชา หรือน้องไอวี่ ปีนี้ 2 ขวบแล้วค่ะ

ย้อนไปตอนหนูอายุ 1 เดือน คุณพ่อคุณแม่ทดลองลงทุน Jitta Wealth เป็นของขวัญไว้ให้ให้หนู บอกให้หนูรอเงินเติบโตไปเรื่อยๆ จนเป็นผู้ใหญ่อายุ 20 ค่อยเอาไปใช้เรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา

ตอนแรกๆ ยังไม่รู้ว่าการลงทุนคืออะไร หนูก็เฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร… เอาเวลาไปเล่นแฟลชการ์ด ฟังคุณพ่ออ่านนิทาน สนุกกว่าตั้งเยอะ

แต่พอหนูอายุ 1 ขวบ คุณพ่อก็เอามือถือมาโชว์ให้ดูว่า ปีแรกหนูได้กำไรตั้ง 20.18%!

คุณพ่ออธิบายหลักการและข้อคิดการลงทุนให้หนูฟังหลายอย่าง แต่ที่จำได้แม่นที่สุดเลยคือตอนที่คุณพ่อบอกว่า ผลตอบแทน 20.18% ดีกว่าปกติเยอะ หนูไม่ควรคาดหวังว่าปีต่อๆ ไปจะได้กำไรขนาดนี้ตลอด เพราะตลาดหุ้นไม่มีอะไรแน่นอน

หนูก็พยักหน้าตามหงึกๆ ถึงจะยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่

แต่หนูก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เรียนรู้เรื่องการลงทุนตั้งแต่เด็กๆ เลยอยากเขียนบันทึกไว้ให้เพื่อนๆ ได้อ่านเรื่องลงทุนกันด้วย ปีนี้ก็เป็นปีที่ 2 แล้วค่ะ

ปีนี้หนูตื่นเต้นกว่าปีที่แล้วมาก อยากรู้ว่าพอร์ตจะโตไปอีกแค่ไหน สมมุติปีนี้ได้กำไรเยอะๆ อีกนะ หนูว่าจะขอคุณพ่อถอนเงินไปซื้อไอติมมะนาวมากินฉลองซักหน่อย

พอตอนเย็นคุณพ่อกลับมาบ้าน หนูก็รีบวิ่งไปใช้ลูกไม้กอดขาทันที อิอิ

คุณพ่ออุ้มหนูขึ้นมาหอมแก้มแล้วถามว่า “ไอวี่มาอ้อนอะไรคุณพ่อคะ”

“วันนี้พอร์ต Jitta Wealth ไอวี่ครบ 2 ปีแล้วนะคะคุณพ่อ” หนูรีบถาม “ตอนนี้พอร์ตหนูเป็นยังไงบ้าง คุณพ่อเล่าให้ฟังหน่อยค่ะ”

คุณพ่อดูตกใจที่โดนหนูจู่โจม ก่อนถามว่า “ไอวี่เตรียมใจมาแล้วใช่ไหมคะ”

คราวนี้กลายเป็นหนูเองที่ตกใจ ทำไมหนูต้องเตรียมใจด้วย!?!?

คุณพ่อพูดมีลับลมคมในแบบนี้ สงสัยปีที่แล้วตลาดหุ้นไม่ดีแหงๆ เลย แล้วพอร์ตหนูก็คงจะติดลบไปตามสภาพตลาด

แต่หนูก็เห็นคุณพ่อบอกทุกคนบ่อยๆ ว่าตลาดหุ้นก็เหมือนรถไฟเหาะ ตีลังกาขึ้น ตีลังกาลง เวียนไปเวียนมา ถ้าหนูยังลงทุนตามหลักการของคุณปู่บัฟเฟตต์ แบบที่ Jitta Wealth ลงทุนใน “หุ้นดีราคาถูก” ให้หนู แบบนี้ไปเรื่อยๆ หนูก็ไม่เห็นต้องกลัวเลยว่ารถไฟจะวิ่งลงหรือวิ่งขึ้น ยังไงเงินของหนูก็น่าจะโตไปเรื่อยๆ อยู่ดี  

พอดึงสติได้ หนูเลยตอบคุณพ่อไปว่า “ไอวี่ไม่ต้องเตรียมใจค่ะ เพราะไอวี่เข้าใจอยู่แล้ว!”

“ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา แค่ไอวี่ลงทุนถูกต้อง เงินก็จะเติบโตได้เองในระยะยาว ใช่มั้ยคะคุณพ่อ”

คุณพ่อยิ้มแล้วก็พยักหน้า “ใช่แล้วค่ะ ลูกรัก”

เราสองคนเดินไปนั่งที่โซฟาด้วยกัน หนูนั่งบนตักคุณพ่อ รอฟังคุณพ่ออธิบายพอร์ต Jitta Wealth เหมือนนิทานที่คุณพ่อชอบอ่านให้ฟังก่อนนอนทุกคืน

หนูงงม้ากมาก พอร์ตที่คุณพ่อโชว์ให้ดูมีตัวเลขเยอะแยะเต็มไปหมด

ถึงหนูจะรู้เรื่องการลงทุนเยอะกว่าเด็กคนอื่นๆ แต่หนูก็เพิ่ง 2 ขวบเองนี่นา ยังบวกลบเลขไม่ค่อยเก่งเลย แถมยังมีคำศัพท์ยากๆ อย่าง “ผลตอบแทนรวม” กับ “ผลตอบแทนทบต้น” อีกต่างหาก

คุณพ่อเห็นหนูทำหน้ามึนๆ เลยรีบหยิบกระดาษวาดรูปมาเขียนตัวเลขตัวโตๆ ลงไป

จำนวนปีที่ลงทุน: 2

  • กำไรปีที่ 1: 20.18%
  • กำไรปีที่ 2: -9.92%
  • ผลตอบแทนรวม: 8.25%
  • ผลตอบแทนทบต้น: 4.04%

ผลตอบแทนรวมก็คือ ผลตอบแทนทั้งหมดที่พอร์ตทำได้ โดยไม่สนใจว่าลงทุนมานานเท่าไหร่แล้ว เช่น คุณแม่ลงทุนในหุ้น 10,000 บาท เงินเพิ่มเป็น 20,000 บาท หมายความว่าคุณแม่ได้ผลตอบแทนรวม 100% ค่ะ” คุณพ่อบอก

“แต่ถ้าจะเปรียบเทียบผลตอบแทนให้ถูกต้องจริงๆ ก็ต้องดูระยะเวลาที่ใช้ในการทำกำไรด้วยค่ะ เพราะถ้าคุณแม่ได้กำไร 100% ในเวลา 7 ปี แต่คุณพ่อทำกำไร 100% ในแค่ 5 ปี ก็แสดงว่าคุณพ่อลงทุนได้ดีกว่าคุณแม่ ถูกมั้ยคะ อันนี้แหละค่ะที่เรียกว่า ‘ผลตอบแทนทบต้น’”

หนูคิดใจในว่า ต้องเป็นเพราะคุณพ่อเล่าเรื่องแน่ๆ คุณพ่อเลยเป็นพระเอก ได้ “ผลตอบแทนทบต้น” ชนะคุณแม่เฉยเลย

คุณพ่อเล่าต่อว่า ส่วนใหญ่แล้วเวลาพูดถึงผลตอบแทนทบต้น เราจะใช้หน่วย “ต่อปี” เช่น กำไร 100% ใน 7 ปี ก็คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นประมาณ 10% ต่อปี

ฟังคุณพ่อแล้วก็ยังงงๆ คุณพ่อก็เลยยกตัวอย่างใหม่ เริ่มจากคุณแม่ลงทุน 10,000 บาท ปีที่ 1 ได้กำไรมา 1,000 บาท ก็เอาไปทบรวมกับเงินตอนแรก กลายเป็นเงินทั้งหมด 11,000 บาท

ปีที่ 2 คุณแม่เอาเงิน 11,000 บาท ไปลงทุนต่อ ได้กำไรมาอีก 10% หรือ 1,100 บาท เอาไปทบรวมกับเงินต้น กลายเป็นเงินทั้งหมด 12,100 บาท

แล้วคุณแม่ก็เอาเงิน 12,100 บาทไปลงทุนต่ออีกจนครบ 7 ปี ทบต้นจนกลายเป็น 20,000 บาทค่ะ

ส่วนคุณพ่อทำกำไรได้ 100% ใน 5 ปี คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นประมาณ 15% ต่อปี ถือว่าสูงกว่าคุณแม่ค่ะ

“อีกเหตุผลที่ต้องคิดผลตอบแทนทบต้นออกมา เพราะตลาดหุ้นไม่แน่นอน บางปีอาจจะได้กำไร 20% บางปีขาดทุน 10% ในขณะที่ธนาคารให้ผลตอบแทน 1.5% ทุกๆ ปี ถ้าเทียบกันด้วยผลตอบแทนของแต่ละปี โดยไม่มาหาค่าเฉลี่ยผลตอบแทนทบต้น ก็จะบอกได้ยากค่ะว่าแบบไหนดีกว่า

ถ้าปีไหนพอร์ตคุณพ่อติดลบ ออมเงินในธนาคารก็ดูให้ผลตอบแทนดีกว่า แต่พอปีไหนพอร์ตเป็นบวก ออมเงินก็ดูแย่กว่า

ดูเป็นปีต่อปีแบบนี้ มองเห็นภาพยากค่ะว่าตกลงควรลงทุนแบบไหนดี เราถึงต้องกลับมาดูว่า คุณพ่อลงทุนไป 5 ปี ผลตอบแทนทบต้น 15% ต่อปี เงินลงทุนเติบโตขึ้น 100%

ขณะที่ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยเงินฝาก ให้ผลตอบแทนทบต้น 1.5% ต่อปี ผ่านไป 5 ปีเงินโตมาแค่ 8% เท่านั้นเอง

กำไรโดยรวมลงทุนในหุ้นดีกว่าตั้ง 92% ก็แสดงว่า เอาเงินไปซื้อหุ้นได้ผลตอบแทนดีกว่าเยอะมากๆ ค่ะ”

ส่วนวิธีการคำนวณผลตอบแทนทบต้น คุณพ่อบอกว่า รอหนูบวก ลบ คูณ หาร เก่งๆ ก่อน แล้วจะสอนให้อย่างละเอียดเลยค่ะ

แต่อย่างน้อยตอนนี้หนูก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนรวม และผลตอบแทนทบต้นแล้ว วันหลังแอบหยิบมือถือคุณพ่อมาเปิดดูพอร์ตตัวเองบ้างดีกว่าาา


กำไรปีที่ 1: 20.18%

ปีแรกหนูเริ่มต้นลงทุน 1,000,000 บาท พอครบปี หนูมีเงินทั้งหมด 1,201,787 บาท

คุณพ่อเขียนยึกๆ ยือๆ ในกระดาษอยู่พักหนึ่ง ก็ได้เลข 20.18% ออกมา

คุณพ่อบอกว่า 20.18% คือผลตอบแทนปีแรกของไอวี่

ส่วนผลตอบแทนรวม และผลตอบแทนทบต้นก็เท่ากันที่ 20.18% เพราะหนูเพิ่งลงทุนไปแค่ปีเดียวค่ะ


กำไรปีที่ 2: -9.92%

ส่วนปีที่ 2 คุณพ่อเขียนสรุปให้หนูดูง่ายๆ แบบนี้

  • ผลตอบแทนปีนี้: -9.92%
  • ผลตอบแทนรวม: +8.25%
  • ผลตอบแทนทบต้น: +4.04% ต่อปี

เพราะปีนี้หนูเริ่มด้วยเงินตั้งต้น 1,201,787 บาท แต่พอครบปี เงินหนูลดลงมาเหลือ 1,082,516 บาท เท่ากับว่าเงินของหนูลดลงมา -9.92%

แต่เงินหนูเพิ่มจาก 1,000,000 บาท เป็น 1,082,516 บาท เท่ากับผลตอบแทนรวม +8.25% ยังเป็นบวกอยู่ เย่ๆ

เมื่อหารเฉลี่ย 2 ปี ก็เท่ากับว่าเงินของหนูเติบโตทบต้นที่อัตรา +4.04% ต่อปี ก็ยังเป็นบวกอยู่เหมือนกันนะ

คุณพ่อบอกว่า พอหนูเริ่มลงทุนไปเรื่อยๆ ตัวเลขทั้ง 3 ตัวก็น่าจะแตกต่างจากกันมากขึ้นๆ เพราะมีเวลาเข้ามาเกี่ยวด้วย  

และผลตอบแทนทบต้นจะทำให้หนูเห็นภาพเงินที่เติบโตในระยะยาวได้ชัดขึ้น โดยไม่ต้องสนใจว่าแต่ละปีจะกำไรหรือขาดทุน

บางปีหนูอาจจะขาดทุนก็จริง แต่ปีที่ได้กำไร เหมือนอย่างปีที่แล้ว หนูก็จะได้เยอะมากจนชดเชยที่ขาดทุนไปได้เยอะเลย ผ่านไป 2 ปี พอร์ตของหนูก็ยังถือว่าเติบโตอยู่ตั้ง 4.04%

คุณพ่อย้ำนักย้ำหนาจนหนูจำได้ขึ้นใจแล้วว่า ถ้าหลักการลงทุนของหนูดีอยู่แล้ว พอร์ตของหนูจะโตไปเรื่อยๆ เองค่ะ


ผลตอบแทนทบต้น: 4.04%

พอคุณพ่อเอาผลตอบแทนทั้ง 2 ปีมาคิดหา “ผลตอบแทนทบต้น” แล้วได้ 4.04% หนูก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเลยค่ะ

“อย่าเพิ่งดีใจไปค่ะไอวี่” คุณพ่อเบรกหนูทันที “หนูยังไม่รู้เลยว่า 4.04% นี่ดีหรือเปล่า หนูต้องเอาไปเปรียบเทียบกับการลงทุนแบบอื่นๆ ก่อนค่ะ”

อ้าว…หนูเห็นตัวเลขไม่ติดลบ หนูก็ว่าดีแล้วนาาาา

หนูเลยต้องกลับมานั่งตักคุณพ่อเหมือนเดิม ดูคุณพ่อตีตารางแล้วก็เขียนตัวเลขอีกเต็มไปหมดจนหนูตาลายเลยค่ะ

คุณพ่อบอกว่าปกติทั่วไปจะใช้ดัชนีตลาดเป็นตัวเปรียบเทียบ แต่คราวนี้คุณพ่อจะเพิ่มดอกเบี้ยเงินฝากให้ดูด้วย หนูจะได้เห็นกับตาเลยค่ะว่าอะไรทำให้เงินของหนูเติบโตได้มากกว่ากัน

นี่ไงๆ เปรียบเทียบแล้วพอร์ต Jitta Wealth ของหนูก็ยังทำกำไรได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นไทย หรือเงินฝากตั้งเยอะ

โถ่…แบบนี้หนูดีใจก็ถูกแล้วนี่นา คุณพ่อไม่น่ามาเบรกเลย

“ถ้าไอวี่มองผลตอบแทนทบต้นระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไป ไอวี่ก็จะมีความสุขค่ะ บางปีขาดทุน 10% หรือ 20% แต่บางปีก็กำไร 15% หรือ 30% สุดท้ายแล้วเงินโตทบต้นประมาณ 10% ต่อปี ดีกว่าเอาเงินไปฝากธนาคาร หรือซื้อพันธบัตรอยู่แล้วค่ะ” คุณพ่อย้ำอีกครั้ง

“ไอวี่เข้าใจแล้วค่ะ” หนูพยักหน้าอย่างมีความหวัง “ผลตอบแทนทบต้นหนูยังได้กำไรปีละ 4.04% มากกว่าเงินฝาก ก็ถือว่ายังโอเค ไว้รอปีที่ตลาดหุ้นดีๆ ไอวี่ได้กำไรเยอะๆ แล้วหนูค่อยมาขอเงินไปซื้อไอติมมะนาวแทนนะคะ”

จะว่าไป คุณพ่อชอบพูดเรื่อยเลยว่าตลาดหุ้นระยะยาวจะโต ลงทุนระยะยาวแล้วได้กำไร แต่ก็บอกว่าตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง พอร์ตมีโอกาสขาดทุน

แล้วตกลงว่า มันผันผวนขึ้นลง คาดเดาไม่ได้ หรือว่ามันจะโตกันแน่นะ หนูงงจัง

เย็นนั้นพอหม่ำข้าวอิ่มแล้ว หนูเลยวิ่งไปหาคุณพ่อที่กำลังจ้องคอมพิวเตอร์อยู่ที่โต๊ะทำงาน คุณพ่อเห็นหนูวิ่งทำหน้าตื่นเต้นมาอีก ก็หัวเราะใหญ่เลย

“คุณพ่อขา ทำไมคุณพ่อมั่นใจละคะว่าพอร์ตของไอวี่จะโต”

คุณพ่อรีบเปิดเว็บไซต์ของอากู๋ พิมพ์ก๊อกๆ แก๊กๆ แล้วก็เปิดกราฟเบ้อเร่อให้หนูดู อันนี้เป็นกราฟที่หนูไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นแท่งๆ มีสีแดงกับสีเขียว เหมือนไอติมหวานเย็นเลยค่ะ

“สมมุติว่าเราเล่นเกมแฟลชการ์ดกันนะคะไอวี่ แทนที่จะเป็นรูปสัตว์ ไอวี่จะมีการ์ดสองสี สีเขียว กับสีแดง จากครั้งก่อนๆ ที่คุณพ่อเล่นกับไอวี่ ทำให้ไอวี่จับทางได้ว่า การ์ดสีเขียวมีมากกว่าสีแดง” คุณพ่อเล่าแล้วก็หยิบแฟลชการ์ดที่หนูชอบเล่นขึ้นมา “ถ้าคุณพ่อให้ไอวี่เดาว่าการ์ดต่อไปจะเป็นสีอะไร ไอวี่ก็เดาไม่ถูกหรอกใช่มั้ยคะ แต่ไอวี่รู้ว่า ถ้าไอวี่บอกว่าสีเขียวทุกครั้ง ถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่สุดท้ายแล้วไอวี่ก็ตอบถูกมากกว่าผิด เพราะการ์ดสีเขียวมีมากกว่าสีแดง”

คุณพ่อบอกว่าการลงทุนก็เหมือนกับแฟลชการ์ดตรงที่มันเป็นเกม แต่เป็นเกมที่เล่นกันหลายปีเลยค่ะ ไม่ได้จบในไม่กี่นาทีเหมือนที่หนูเล่น เพราะอย่างนั้นหนูจะต้องวิเคราะห์ และก็ตัดสินใจจากข้อมูล ตัวเลข หลายๆ ปีมารวมกัน

ถ้าหนูเล่นเกมแฟลชการ์ดสองสีแบบที่คุณพ่อบอก หนูก็ต้องสังเกตว่า ครั้งก่อนๆ ที่หนูเล่น การ์ดออกมาเป็นสีอะไรมากกว่ากัน พอรู้แล้ว หนูก็ไม่ต้องเดาว่าการ์ดจะออกสีแดง หรือสีเขียว หนูก็แค่จำไว้ว่าการ์ดสีเขียวเยอะกว่า พูดสีเขียวไปเรื่อยๆ หนูก็น่าจะชนะคนที่พยายามเดาสีการ์ดค่ะ

คุณพ่ออธิบายต่อว่า ตลาดหุ้นของประเทศไทยในช่วง 43 ปีที่ผ่านมา ซึ่งย้อนกลับไปก่อนหนูเกิดเยอะมากๆ ผลตอบแทนรายปีก็บวกบ้าง ลบบ้าง บางทีกำไรมากกว่า 50% แน่ะค่ะ แต่บางปีก็ขาดทุนมากกว่า 50% อีก

สงสารคนที่ลงทุนช่วงนั้นจังค่ะ หนูว่าคงจะต้องเครียดจนนอนไม่หลับแน่ๆ เลย

ยิ่งถ้ามองแค่ปีต่อปี คงจะยิ่งเครียดกว่าเดิมอีก เพราะอาจจะคิดไปได้ว่า -50% คือจุดจบของตลาดหุ้นแล้ว

แต่คุณพ่อบอกว่าไอวี่จะมองปีต่อปีแบบนั้นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะกลัวไปตลอด ไม่กล้าลงทุน เสียโอกาสไปเลยค่ะ คุณพ่อเลยให้หนูนับปีที่สีเขียว กับปีที่สีแดง แล้วเอามาเปรียบเทียบกันค่ะ

พอหนูลองนับดู ก็เหมือนว่าปีที่สีเขียวจะเยอะกว่าปีที่สีแดงเยอะมากๆ ค่ะ มีปีที่กำไรสีเขียวอยู่ 27 ปี และขาดทุนสีแดงอยู่ 16 ปี

คุณพ่อกดเครื่องคิดเลขปุ๊บ ก็บอกว่าเฉลี่ยแล้ว ทุกๆ 10 ปี ตลาดหุ้นจะกำไรประมาณ 6-7 ปี และขาดทุนประมาณ 3-4 ปีค่ะ ถ้าหนูลงทุนวันนี้ แล้วโชคร้ายเจอตลาดขาดทุนติดกัน 4 ปี แล้วหนูไม่ตกใจ หนูถือต่อไป หลังปีที่ 4 ก็จะเจอตลาดทำกำไรไปอีก 6 ปี พอร์ตก็โตอยู่ดีค่ะ

เพราะอันนี้แหละ ทำให้คุณพ่อมั่นใจว่า ถ้าทุกคนลงทุนอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป ด้วยหลักการที่ถูกต้อง เช่น หลักการของคุณปู่บัฟเฟตต์ ก็ควรที่จะได้กำไรกันค่ะ

“สมมติว่าไอวี่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยตลอด 43 ปีที่ผ่านมา ไอวี่จะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่เอ่ย” คุณพ่อถาม

หนูขอยืมเครื่องคิดเลขของคุณพ่อมากดบ้าง แต่มันดันขึ้น Error แบบนี้ค่ะ สงสัยหนูต้องกดผิดแน่ๆ เลย คุณพ่อเลยเอาไปกดให้แทน

“ไอวี่ขอเดาก่อนค่ะคุณพ่อ ไอวี่เดาว่า 200% ค่ะ!”

คุณพ่อก็หัวเราะแล้วบอกว่า “น้อยไปเยอะเลยค่ะลูก คำตอบคือ 12,400% ค่ะ”

โอ้โห! เกิดมาหนูยังไม่เคยเห็นเปอร์เซ็นต์อะไรเยอะเป็นหมื่นแบบนี้เลยค่ะ ตลาดต้องมีเวทย์มนต์เหมือนเจ้าหญิงเอลซ่าแน่ๆ เลย

“คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 11.87% ต่อปี ถ้าเริ่มที่ 1 ล้านบาท เบ็ดเสร็จหนูก็จะได้ 124,331,400 บาทค่ะ” คุณพ่อเสริม

“หูยยยย แบบนี้หนูซื้อไอติมมะนาวกับหยอดตู้หมุนไข่ทุกวันเลยได้มั้ยคะ” เห็นเงินโตขนาดนี้ หนูตื่นเต้นไปด้วยเลยค่ะ

คุณพ่อบอกว่า ที่ได้เยอะขนาดนี้ไม่ใช่เวทย์มนต์นะคะ แต่เป็นกลไกปกติของตลาดหุ้น เพราะว่าในระยะยาวตลาดหุ้นจะโตตามกำไรที่บริษัทต่างๆ ในตลาดทำได้ในแต่ละปีค่ะ ยิ่งเศรษฐกิจขยายตัว ธุรกิจกำไรมากขึ้น ตลาดหุ้นก็วิ่งขึ้นไปด้วย เป็นแบบนี้มาตลอดเลยค่ะ

อีกอย่างที่คุณพ่อบอกว่าหลายๆ คนไม่ค่อยสังเกต ก็คือ ปีที่กำไรสูงๆ มีเยอะกว่า ปีที่ขาดทุนหนักๆ อีกค่ะ

อย่างปีที่ขาดทุนหนักที่สุดคือ -53.07% มีแค่ปีเดียวเอง แต่ปีที่กำไรสุดๆ คือ +133.05% +133.93% และ +126.35% มีตั้ง 3 ปี

ถ้าคุณน้าคุณอาไปโฟกัสที่ -53.07% จนกลัวลงทุน ก็จะเสียโอกาสที่จะได้กำไรเป็น 100% ไปหมดเลยค่ะ

คุณพ่อบอกว่า ลงทุนระยะยาว มองข้ามปีแดงๆ ไปโฟกัสในสิ่งที่เราจะได้รับจากปีเขียวๆ สบายใจกว่าค่ะ

“แต่ก็ต้องลงทุนด้วยหลักการที่ถูกต้องด้วยนะคะ ถึงจะทำให้เงินเติบโตขึ้นได้” คุณพ่อบอก

ทำให้หนูรู้สึว่า พอร์ตของหนูที่ลงทุนผ่าน Jitta Wealth นี่ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ มีระบบ AI ลงทุนให้หนูด้วยหลักการ “หุ้นดี ราคาถูก” ของปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์อยู่แล้ว แถมคอยดูแลปรับพอร์ตให้มีหุ้นดีๆ ในพอร์ตทุกปี เงินโตสบายใจ แถมมีเวลาไปวิ่งเล่นเยอะแยะเลยค่ะ

“หนูยังมีอีกคำถามค่ะคุณพ่อ” คืนนี้ไม่เคลียร์ ไอวี่ไม่นอนค่ะ

คุณพ่อมองนาฬิกาแล้วหันมามองหนูที ก่อนจะพยักหน้าให้หนูถามต่อ

“แล้วถ้าหนูไม่ปล่อยทิ้งไว้ แต่หนูขายหุ้นในปีที่เป็นสีเขียวๆ แล้วมาซื้อใหม่หลังจากตลาดตกต่ำสุดไปแล้ว จะไม่ได้กำไรเยอะกว่าหรอคะคุณพ่อ”

หนูถามแบบนี้คุณพ่อยิ้มเลยค่ะ

“ในทางทฤษฎี ฟังดูแล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเนอะ” คุณพ่ออธิบาย “แต่พอลองเอาไปทดสอบจริงๆ ตรงกันข้ามเลยค่ะ ยิ่งพยายามจับจังหวะมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ผลตอบแทนระยะยาวน้อยลงเรื่อยๆ ค่ะ”

“อ้าว! ทำไมล่ะคะคุณพ่อ ไหนว่าต้องซื้อถูกๆ ขายตอนแพง ถึงจะได้กำไรไม่ใช่หรอคะ แล้วทำไมพอดักซื้อตอนตลาดลง แล้วไปขายตอนตลาดขึ้น ไม่ได้ผลล่ะคะ”

หนูมองหน้าคุณพ่อแล้วก็รู้เลยค่ะ ว่าคราวนี้อธิบายยาวแน่ๆ ไม่น่าถามเลย เพราะหนูก็เริ่มง่วงแล้วค่ะ แหะๆ แต่หนูก็จะพยายามฟังจนจบนะคะ

“อย่างแรกนะคะ ตลาดหุ้นขึ้นลง เพราะข้อมูลข่าวสารด้านเศรษฐกิจ การเมือง ที่มีผลต่ออารมณ์ของนักลงทุนเป็นแสนเป็นล้านคน แล้วคนเหล่านี้ก็ไปตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น ซึ่งไม่มีใครเดาทางตลาดถูก 100% ค่ะ

ไอวี่ก็เห็นแล้วว่า ตลาดหุ้นขึ้นเยอะกว่าลง เหมือนแฟลชการ์ดสีเขียวที่เยอะกว่าสีแดง ถ้าหนูเอาแต่เดา หนูอาจจะถูกครึ่งนึง ผิดครึ่งนึง แต่ถ้าหนูพูดสีเขียวไปทุกครั้ง โอกาสถูกหนูเยอะกว่าผิดแน่นอน เพราะฉะนั้น วิธีลงทุนที่ดีที่สุดคือ ลงทุนในหุ้นตลอดเวลา โอกาสกำไรมากกว่าพยายามจับจังหวะอยู่แล้วค่ะ

อย่างที่สอง ถ้าไอวี่เดาผิด เช่นคิดว่าตลาดหุ้นจะตกเลยขายหุ้นออก แต่ตลาดดันวิ่งไปสูงกว่าเดิม แบบนี้หนูก็ไม่กล้าเอาเงินกลับเข้าไปซื้อหุ้นหรอกใช่มั้ยคะ เพราะหนูกลัวตลาดหุ้นจะตกจริงๆ คนส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนั้นเหมือนกันค่ะ ไปโฟกัสว่าตลาดจะตก จนลืมไปว่าตลาดขึ้นเยอะกว่าตลาดตก เลยพลาดโอกาสลงทุนดีๆ”

สุดท้าย ก็คือ เป้าหมายของหนูจะเปลี่ยนไป แทนที่หนูจะลงทุนในธุรกิจที่ดีแล้วปล่อยให้เติบโตตามหลักการและเหตุผล หนูก็จะพยายามเดาทิศทางตลาดให้ถูก เห็นการลงทุนเป็นการทำกำไรระยะสั้นขึ้นเรื่อยๆ จนตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ตลาด สุดท้ายก็จะติดกับดักนักลงทุนรายวัน เสียเงิน เสียเวลา และเสียสุขภาพในที่สุดค่ะ…”

“ไอวี่ยังฟังอยู่หรือเปล่าคะ” คุณพ่อสะกิดหนูเบาๆ

อ้าว! นี่หนูแอบวูบหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ค่ะ แต่หนูได้ยินอยู่นะคะ อะไรเกี่ยวกับเงิน เวลา และสุขภาพนี่ล่ะค่ะ

“ถ้าไอวี่ไม่ใช่นักลงทุนแบบเทพๆ มองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า เดาทางตลาดถูกตลอด ก็ไม่น่าจะเหมาะกับการจับจังหวะตลาดหรอกค่ะ

นักลงทุนทั่วไปอย่างเราๆ เหมาะกับการลงทุนเรียบง่าย อย่างลงทุนในธุรกิจที่ดี ในราคาที่ไม่แพงมาก และลงทุนในหุ้นตลอดเวลา ไม่ต้องซื้อๆ ขายๆ แบบนี้มากกว่าค่ะ

ที่สำคัญ ต้องเข้าใจและปล่อยวางกับธรรมชาติที่ผันผวนของตลาดให้ได้นะคะ ใจแข็งผ่านช่วงที่แย่ๆ ไปให้ได้ เพราะหลังจากตลาดแย่ไปแล้ว ปีต่อๆ มาตลาดก็จะวิ่งขึ้นเป็นบวกติดๆ กัน แล้วพอร์ตของหนูก็จะกลับมาทำกำไรเริงร่าอีกครั้งค่ะ” คุณพ่อเตือน

“เข้าใจแล้วค่ะคุณพ่อ” หนูหาว “หนูไม่อยากนั่งเฝ้าหุ้นค่ะ หนูอยากไปเล่นมากกว่า ระหว่างที่เงินหนูเติบโต”

คุณพ่อกอดหนูแน่นพร้อมหอมแก้มหนูทีนึง “ดีแล้วค่ะ ไม่ว่าไอวี่จะลงทุนอะไรก็ตาม ต้องมีความสุขด้วยเสมอนะคะ เพราะเงินมากแค่ไหน ก็ไม่คุ้มกับสุขภาพกายและใจที่ต้องเสียไปค่ะ”

หนูฟังคุณพ่อแล้วก็คิดจริงๆ นะคะว่า ปีนี้ขาดทุนก็ดีเหมือนกัน เพราะหนูได้เรียนรู้เรื่องความรถไฟเหาะของตลาดตั้งแต่แรกๆ จะได้ไม่ประมาท หลงตื่นเต้นดีใจจนลืมความเป็นจริง และก็ได้เตรียมใจไว้พร้อมรับมือตลาดหุ้นลงอีกในอนาคตค่ะ

“แล้วถ้ามีคนมาถามหนูว่า ตอนนี้ตลาดดูไม่ค่อยดี ควรจะเริ่มลงทุนตอนไหนดี หนูควรจะตอบว่ายังไงดีคะ”

“วันนี้” คุณพ่อตอบ “สั้นๆ ง่ายๆ เลยค่ะ ถ้าตั้งใจลงทุนระยะยาวแล้ว วันนี้คือเวลาที่ดีที่สุดค่ะ”

คุณพ่อบอกว่าคุณพ่อเคยเขียนบทความไว้บทความหนึ่ง อยู่บนเว็บไซต์ ใครๆ ก็มาดูได้ ชื่อว่า “เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุน” ค่ะ แต่ว่าหนูยังอ่านหนังสือไม่ค่อยแข็งเท่าไหร่ คุณพ่อเลยสัญญาว่าจะเล่าให้หนูฟัง แต่วันหลังนะคะ เพราะวันนี้หนูต้องเข้านอนแล้วล่ะค่ะ  

มาลองทบทวนดู วันนี้หนูก็ได้เรียนรู้เรื่องสำคัญๆ ตั้ง 3 เรื่องแหนะ

  1. เวลาดูผลตอบแทน ให้ดูผลตอบแทนทบต้นระยะยาวเป็นหลัก ไม่ควรสนใจผลตอบแทนระยะสั้นแบบรายเดือนหรือรายปีมากเกินไป
  2. เข้าใจธรรมชาติของตลาดหุ้นว่ามีขึ้นมีลง ปล่อยวางให้ได้ ถ้าทุกคนลงทุนด้วยหลักการที่ถูกต้อง ระยะยาวเงินจะเติบโตเอง เพราะปีที่กำไรมีมากกว่าปีที่ขาดทุน
  3. อย่าเสียเวลาเดาทิศทางตลาด จับจังหวะซื้อขายระยะสั้น เพราะมักจะทำให้เสียเงิน เสียเวลา และ เสียสุขภาพค่ะ สู้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น แล้วปล่อยให้เงินเติบโตตามธรรมชาติของมันดีกว่า

หนูคิดว่าความเข้าใจในธรรมชาติของตลาดหุ้นนี้น่าจะสำคัญมาก คุณน้าคุณอาควรจะใส่ใจเป็นอย่างแรกๆ มากกว่าการนั่งวิเคราะห์หุ้นอีกค่ะ เพราะถ้าเข้าใจแล้ว ก็จะรู้วิธีทำเงินจากตลาดหุ้นในระยะยาวได้อย่างสบายใจ

โชคดีของหนูที่ได้เริ่มลงทุนตั้งแต่แบเบาะ มีเวลาให้ผ่านช่วงตลาดดีและร้ายอีกเยอะแยะ

ปีหน้าหนูจะกำไรหรือขาดทุนก็ยังไม่รู้ แต่หนูเข้าใจเรื่องผลตอบแทนทบต้นแล้ว จากนี้ตามดูพอร์ต เรียนรู้จากคุณพ่อเรื่อยๆ ก็สนุกมากแล้วค่ะ

สำหรับความรู้ แนวคิด และหลักการลงทุนระยะยาวแบบเน้นคุณค่าเพิ่มเติม ก็เข้าไปดูวิดีโอที่คุณพ่อสอนได้ หรือจะไปศึกษาวิธีลงทุนระยะยาวแนวเน้นคุณค่าแบบ passive ที่เว็บไซต์ Passive Way ก็ได้ค่ะ

ขอให้ทุกคนมีความสุขและสนุกกับการลงทุนเช่นเดียวกันนะคะ

ว่าแล้วคุณพ่อก็อุ้มหนูไปที่ห้องนอน ก่อนเราจะหอมแก้มราตรีสวัสดิ์กันและกัน

— วีไอ Ivy