สวัสดีปีใหม่ 2564
ไม่รู้คุณจะรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า ว่าปี 2563 ที่ผ่านมา จะปลิวผ่านเราไปแบบงงๆ
เหมือนทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นความฝันขณะงีบหลับตอนพักกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ที่คร่าชีวิตคนทั่วโลก เหมือนหลุดออกมาจากหนัง Contagion
หรือเศรษฐกิจโลกที่ทรุดหนัก เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงพร้อมกันในช่วงเดือนมี.ค. และตลาดหุ้นไทยโดนเทขายจนต้องพัก Circuit Breaker 2 วันติด
เมื่อต้นปี 2563 ตอนที่ Jitta เปิดเผยผลตอบแทนของ Jitta Ranking ปี 2562 เรายังหวังว่า เศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากที่ต้องเจอกับไม่ความแน่นอนจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน สหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป และการประท้วงทางการเมืองที่ยืดเยื้อในฮ่องกง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือบทพิสูจน์สัจธรรมของตลาดหุ้นอย่างแท้จริง เหมือนที่เราบอกเสมอว่า ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น พยายามจับจังหวะตลาดไป ก็ใช่ว่าจะตัดสินใจได้ถูกต้อง
เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่นำมาซึ่งวิกฤตในปี 2563 เรียกได้ว่า ‘หักปากกาเซียน’ โดยสิ้นเชิง
Covid-19 เป็น Black Swan ที่นอกเหนือความหมาย ไม่มีใครคาดการณ์ได้ และสร้างผลกระทบมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นฝั่ง Demand และ Supply ทุกอย่างต่างหยุดชะงัก ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ปรับตัวกันครั้งใหญ่
สำหรับหลายๆ คน ปี 2563 อาจจะเป็นเหมือนหนังระทึกขวัญที่ไม่ยอมจบม้วน ยังเฝ้าหลอกหลอนคนดูอย่างต่อเนื่องแม้จะผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้วก็ตาม
แต่ก็อย่างที่เราคอยบอก คอยย้ำทุกคนอยู่บ่อยๆว่า ทุกวิกฤตมีโอกาสเสมอ
ใครที่เคยผ่านวิกฤตตลาดหุ้นกันมาบ้างแล้ว ก็หวังว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากช่วงหุ้นตก หาธุรกิจดีๆ ราคาถูก มาเป็นเจ้าของ ทำกำไรกันจนยิ้มหน้าบาน
ส่วนใครที่ยังไม่เคยผ่านวิกฤตมาก่อน เพิ่งมาเจอวิกฤตนี้เป็นครั้งแรก ก็คงได้วัดใจกันไปแล้วว่า ตนเองเป็นนักลงทุนที่จิตแข็งแกร่ง แน่วแน่ สามารถลงทุนเองให้ประสบความสำเร็จได้หรือไม่
ปี 2563 เป็นบททดสอบที่ดีทีเดียว ที่จะช่วยให้นักลงทุนได้รู้จักตนเองมากยิ่งขึ้น หลายคนหมายมั่นปั้นมือมาดิบดี ว่าตอนหุ้นลงจะรีบช้อนซื้อ แต่สุดท้ายพอถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็ไม่กล้า กลัวหุ้นยังลงไม่สุด ในขณะที่หลายๆ คนตั้งใจจะถือฝ่าวิกฤตไป แต่พอเห็นพอร์ต -20% -30% เข้าก็เริ่มไม่แน่ใจ รีบขายออกก็มี
ทีมงาน Jitta ก็ขอแสดงความยินดีกับคนที่ผ่านการทดสอบ เจอวิกฤตแล้วบริหารจัดการพอร์ตได้อย่างที่วางแผนไว้ ทำให้พอร์ตตอนนี้เริ่มฟื้นกลับขึ้นมาเอาชนะตลาดได้แล้ว
ส่วนใครที่ค้นพบแล้วว่าไม่สามารถบริหารจัดการพอร์ตในช่วงวิกฤตได้ ก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะยังมีเครื่องมือการลงทุนอีกมากมายที่พร้อมช่วยคุณลงทุนให้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนดัชนี กองทุน ETF หรือแม้แต่ Jitta Wealth เอง
ปีที่ผ่านมา Jitta Wealth ได้เปิดบริการลงทุนใหม่ถึง 3 นโยบาย ได้แก่
- นโยบาย Jitta Ranking – U.S. Tech ที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดี ราคาเหมาะสม ในประเทศสหรัฐ
- นโยบาย Global ETF ที่ลงทุนในตราสารหนี้ และหุ้นทั่วโลก ผ่านกองทุน ETF
- นโยบาย Thematic ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ทั่วโลก ที่คุณสามารถเลือกได้เองว่ากลุ่มไหนน่าสนใจ น่าลงทุนบ้าง
โดยทั้ง Global ETF และ Thematic นั้นลดเพดานการลงทุนลงมา เริ่มต้นเพียง 100,000 บาทเท่านั้น
ทั้งหมดนี้ พร้อมช่วยคุณลงทุนให้ประสบความสำเร็จ ตามหลักการลงทุนสบายใจ กำไรอย่างยั่งยืน
ในฝั่ง Jitta เอง รอบปีที่ผ่านมา ก็ต้องปรับตัวเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในช่วง Covid-19 ที่ทำให้ตลาดหุ้นลงดิ่งทั่วโลก เราค้นพบว่า นักลงทุนใช้งานแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้นของ Jitta เพิ่มสูงขึ้นถึง 77% แสดงให้เห็นว่านักลงทุนทั่วโลกนั้นต้องการใช้ Jitta ในการค้นหาหุ้นคุณค่าที่จะลงทุนในช่วงวิกฤตอย่างมาก
ทำให้ Jitta เองไม่หยุดพัฒนาระบบวิเคราะห์หุ้น โดยเราได้เพิ่มตลาดหุ้นใหม่ๆ เข้ามาบนแพลตฟอร์ม จาก 7 เป็น 13 ตลาดในปี 2563 ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อังกฤษ ฮ่องกง สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย ตลาดหุ้นที่เพิ่มมา คือ ไต้หวัน จีน เยอรมนี แคนาดา ออสเตรเลีย และอินเดีย
ทั้งนี้ ก็เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนไทยที่สนใจไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา และนักลงทุนทั่วโลก ที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลวิเคราะห์หุ้นที่มีคุณภาพ เป็นกลาง และแม่นยำ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงๆ
ซึ่งทั้ง 13 ประเทศนี้ เรามีผล back test ย้อนหลังถึง 12 ปีให้คุณพิจารณาเช่นเคยใน Library โดยผล back test ย้อนหลังทั้งหมดจะเป็นผลตอบแทนที่ได้จากการปรับอัลกอริทึมครั้งล่าสุด ตามที่เราประกาศเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เพื่อให้การวิเคราะห์หุ้นไม่ว่าจะเป็น Jitta Score Jitta Line หรือ Jitta Ranking เที่ยงตรงแม่นยำมากยิ่งขึ้น ตามรายละเอียดดังนี้
- ปรับการคำนวณ Jitta Line ให้ละเอียดแม่นยำมากขึ้น ผ่านการวิเคราะห์ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัท ซึ่งอัลกอริทึมใหม่จะวิเคราะห์ละเอียดแยกเป็นรายปี จากแพลตฟอร์มเดิม ที่วิเคราะห์เป็นช่วง 3 ปี 5 ปี และ 10 ปี เพื่อให้ประเมินมูลค่าบริษัทที่แท้จริงได้
- ให้น้ำหนักของรายได้และกระแสเงินสดในการวิเคราะห์หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมากขึ้น มาตรฐานบัญชีที่ใช้กันอยู่นั้น ไม่เป็นมิตรกับงบการเงินของบริษัทเทคโนโลยีในปัจจุบัน จึงต้องปรับการคำนวณ Jitta Score และ Jitta Line ใหม่ โดยวิเคราะห์การเติบโตของรายได้ และกระแสเงินสด มากขึ้น แต่ให้น้ำหนักกับกำไรสุทธิน้อยลงเพื่อให้สะท้อนความสามารถในการแข่งขัน และความแข็งแกร่งของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ดีขึ้น
คุณสามารถอ่านคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัลกอริทึมใหม่ของ Jitta ได้ที่นี่
เรายังคงเก็บข้อมูลรายชื่อหุ้นและผลตอบแทนย้อนหลังที่ได้จากอัลกอริทีมเดิม ไว้ให้ทุกคนย้อนกลับเข้าไปดูได้เป็นระยะเวลา 1 ปี ในกรณีที่บางคนต้องการศึกษาและเปรียบเทียบแบบละเอียด โดยเข้าไปดูได้ที่นี่
ผลตอบแทนตลาดหุ้นทั่วโลกปี 2563
ในช่วงกลางเดือนมี.ค. ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกพร้อมใจกันลงดิ่ง หลังจากที่ไม่มีใครคาดว่า Covid-19 จะระบาดไปทั่วโลก จากที่อยู่ในโซนเอเชีย ลามเข้าสู่ทวีปยุโรปและสหรัฐฯ เป็นสัญญาณชี้ว่า สภาพเศรษฐกิจทั่วโลกปี 2563 ไม่สดใสอย่างที่เราหวังไว้
แต่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ทั่วโลกเริ่มคลายล็อกดาวน์ได้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาได้ แม้ยังไม่เต็มที่นัก ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกสามารถรีบาวด์ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง บางตลาดกลับมาทำนิวไฮครั้งใหม่ บางตลาดกลับมาอยู่ในระดับเดิม หรืออาจจะน้อยกว่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นนั้นๆ
แต่โดยภาพรวมแล้วต้องบอกว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ได้ทำผลตอบแทนแย่อย่างที่คิด จากกราฟด้านบน จะเห็นได้ว่า
- เฉลี่ย 13 ตลาดที่ Jitta มีข้อมูลให้บริการ ให้ผลตอบแทนเป็นบวก ที่ 4.44%
- มีเพียง 4 ตลาดเท่านั้นที่ผลตอบแทนปี 2563 ติดลบ ได้แก่ ไทย (-14.79%) สหราชอาณาจักร (-14.34%) สิงคโปร์ (-11.76%) และฮ่องกง (-3.40%)
- ตลาดที่เหลือกลับให้ผลตอบแทนเป็นบวกทั้งหมด นำโด่งโดยดัชนี TAIEX ของไต้หวันที่ทำได้ถึง 22.80% ตามมาด้วย S&P 500 ของสหรัฐฯ ที่ทำได้ 16.26% และ Nikkei 225 ของญี่ปุ่นที่ทำได้ 16.01% แบบเหนือความคาดหมาย
นับว่าวิกฤต Covid-19 เป็นวิกฤตที่แปลกกว่าวิกฤตตลาดหุ้นโดยทั่วๆ ไป ที่ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนติดลบกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากนักลงทุนหมดความเชื่อมั่นในตลาดหลักทรัพย์
ในกรณีวิกฤต Covid-19 นี้ นักลงทุนหมดความเชื่อมั่นในช่วงสั้นๆ แต่เล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโตระยะยาวที่บริษัทเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตต่างๆ ได้รับจากมาตรการล็อกดาวน์ เว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้ธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยีเติบโตอย่างมากมาย ดึงดัชนีตลาด โดยเฉพาะดัชนี S&P500 ขึ้นเย้ยวิกฤตเลยทีเดียว
ผลตอบแทน Jitta Ranking Top 30 ปี 2563
Jitta Ranking Top 30 เองก็ทำผลงานได้ดีไม่แพ้กัน!
หรืออาจจะดียิ่งกว่า หากพิจารณาว่าใน 13 ตลาดนั้น Jitta Ranking Top 30 ให้ผลตอบแทนเป็นบวกถึง 11 ตลาดด้วยกัน โดยจะเห็นได้จากกราฟว่า
- Jitta Ranking Top 30 ให้ผลตอบแทนเป็นบวกใน 11 จาก 13 ตลาด หรือคิดเป็น 85% ของจำนวนตลาดที่ให้บริการข้อมูลทั้งหมด
- เฉลี่ยผลตอบแทนที่ Jitta Ranking Top 30 ทำได้ใน 13 ตลาดคือ 18.18%
- Jitta Ranking Top 30 ทำผลงานได้ดีที่สุดในตลาดหุ้นสิงคโปร์ โดยให้ผลตอบแทนสูงถึง 98.40%
- Jitta Ranking Top 30 ทำผลงานได้ไม่ดีเท่าใดนักในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วยผลตอบแทน -4.28%
ซึ่งผลตอบแทนของ Jitta Ranking Top 30 ก็สอดคล้องกับเทรนด์ของดัชนีตลาดทั่วโลก นั่นคือ ให้ผลตอบแทนเป็นบวก แม้โรคระบาด Covid-19 จะยังคงแพร่กระจาย แถมยังกลายพันธุ์เป็นไวรัสที่ติดต่อกันง่ายมากยิ่งขึ้น สร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจโลกอย่างใหญ่หลวง
ส่วนจะให้ผลตอบแทนเทียบกับดัชนีตลาดเป็นอย่างไรบ้างนั้น มาดูชุดข้อมูลตัวถัดไปได้เลย
ผลตอบแทน Jitta Ranking Top 30 ปี 2563 เทียบกับดัชนีตลาด
เมื่อนำผลตอบแทนของ Jitta Ranking Top 30 มาเปรียบเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นของประเทศนั้นๆ จะเห็นได้ว่า Jitta Ranking Top 30 สามารถเอาชนะตลาดหุ้นได้ถึง 62% หรือคิดเป็น 8 ใน 13 ตลาด โดย
- ตลาดที่ Jitta Ranking Top 30 สร้างผลตอบแทนชนะตลาด ได้แก่ สิงคโปร์ อินเดีย เวียดนาม แคนาดา ฮ่องกง ออสเตรเลีย ไทย และสหราชอาณาจักร
- ตลาดที่ทำผลตอบแทนได้ดีกว่า Jitta Ranking Top 30 ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เยอรมนี สหรัฐฯ
- สิงคโปร์เป็นประเทศที่ Jitta Ranking Top 30 ให้ผลตอบแทนชนะตลาดหุ้นมากที่สุด สร้างผลตอบแทนได้ถึง 98.40% ในขณะที่ดัชนี STI ของสิงคโปร์ยังติดลบอยู่ -11.76% นับว่าเป็นการเอาชนะได้ถึง 110.16%
- ในทางกลับกัน Jitta Ranking Top 30 ทำผลงานไม่ดีนักเมื่อเทียบกับดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทน 16.26% ในขณะที่ Jitta Ranking ให้ผลตอบแทน -4.28% น้อยกว่าดัชนีตลาดหุ้น 20.54%
- ผลตอบแทนเฉลี่ยของ Jitta Ranking Top 30 ทั้ง 13 ประเทศอยู่ที่ 18.18% ชนะผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนีตลาดที่ทำได้ 4.44% หรือชนะไป 11.29%
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนดังกล่าวสะท้อนตลาดหุ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น ซึ่งระยะเวลา 1 ปีเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก ที่จะวัดผลงานของดัชนีตลาด หรือแม้กระทั่ง Jitta Ranking Top 30 เอง
การแพ้หรือชนะตลาดใน 1 ปี ไม่ได้หมายความว่าปีถัดๆ ไปจะสามารถรักษาผลงานได้เหมือนเดิม…
ถ้าวิธีการลงทุนของคุณ สามารถรักษาประสิทธิภาพการทำผลตอบแทนให้ชนะดัชนีตลาดได้ ไม่ว่าจะผ่านไป 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าหลักการลงทุนของคุณนั้นมีมาตรฐาน สามารถทำซ้ำได้เรื่อยๆ เป็นหลักการลงทุนที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง
ในกรณีนี้ เราจึงได้เตรียมผลตอบแทน Jitta Ranking Top 30 เทียบกับผลตอบแทนของดัชนีตลาดในระยะเวลา 5 ปีและ 10 ปีมาให้ดูกันด้วย เพื่อจะพิจารณาว่า การลงทุนตาม Jitta Ranking นั้นสามารถคงประสิทธิภาพการสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ในระยะยาวหรือไม่
ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 5 ปี ของ Jitta Ranking Top 30 เทียบกับดัชนีตลาด
จากที่ 1 ปีทำผลตอบแทนชนะตลาด 62% พอถอยออกมาดูระยะเวลาที่กว้างขึ้น จะเห็นได้ว่า Jitta Ranking Top 30 สามารถทำผลตอบแทนชนะตลาดหุ้นได้ถึง 77% หรือ 10 ใน 13 ตลาด ในระยะเวลา 5 ปี โดย
- ตลาดที่ Jitta Ranking Top 30 สร้างผลตอบแทนชนะตลาด ได้แก่ สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อินเดีย แคนาดา ฮ่องกง จีน เยอรมนี และไทย
- ตลาดที่ทำผลตอบแทนได้ดีกว่า Jitta Ranking Top 30 ได้แก่ ไต้หวัน สหรัฐฯ และเวียดนาม
- สิงคโปร์ยังคงครองแชมป์ประเทศที่ Jitta Ranking Top 30 ให้ผลตอบแทนชนะตลาดหุ้นมากที่สุด สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นได้ถึง 28.73% ต่อปีในขณะที่ดัชนี STI ของสิงคโปร์ได้ -0.27% ต่อปี นับว่าเป็นการเอาชนะไป 29%
- Jitta Ranking Top 30 แพ้ดัชนี VNI ของเวียดนามเยอะที่สุด โดย Jitta Ranking Top 30 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 9.42% ต่อปี ในขณะที่ดัชนี VNI ทำได้ 13.77% ต่อปี
- ผลตอบแทนเฉลี่ยของ Jitta Ranking Top 30 ทั้ง 13 ประเทศอยู่ที่ 12.65% ต่อปี ชนะผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนีตลาดที่ทำได้ 6.02% หรือชนะไป 6.63%
ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 10 ปี ของ Jitta Ranking Top 30 เทียบกับดัชนีตลาด
จากที่ Jitta Ranking Top 30 เอาชนะตลาดไป 62% ใน 1 ปี กลายเป็น 77% ใน 5 ปี และเพิ่มเป็น 92% หากมองย้อนหลังไป 10 ปี หรือเอาชนะได้ 12 จาก 13 ตลาด โดย
- ตลาดที่ Jitta Ranking Top 30 สร้างผลตอบแทนชนะตลาด ได้แก่ สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร อินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ไทย แคนาดา เยอรมนี จีน ฮ่องกง เวียดนาม และไต้หวัน
- ตลาดที่ทำผลตอบแทนได้ดีกว่า Jitta Ranking Top 30 มีอยู่ตลาดเดียว คือตลาดสหรัฐฯ
- สิงคโปร์ยังคงครองแชมป์ประเทศที่ Jitta Ranking Top 30 ให้ผลตอบแทนชนะตลาดหุ้นมากที่สุด สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นได้ถึง 19.34% ต่อปีในขณะที่ดัชนี STI ของสิงคโปร์ได้ -1.14% ต่อปี นับว่าเป็นการเอาชนะไป 20.48%
- Jitta Ranking Top 30 แพ้ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ไปเล็กน้อย แค่ 0.31%
- ผลตอบแทนเฉลี่ยของ Jitta Ranking Top 30 ทั้ง 13 ประเทศอยู่ที่ 14.51% ต่อปี ชนะผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนีตลาดที่ทำได้ 4.71% หรือชนะไป 9.80%
เมื่อมองระยะ 10 ปี ก็จะพบว่า Jitta Ranking Top 30 สามารถเอาชนะได้ทุกตลาดแบบขาดลอย ยกเว้นตลาดสหรัฐฯ ที่ผลตอบแทนใกล้เคียงกัน
ถ้าไปดูปัจจัยประกอบการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ แล้ว ก็จะพบว่าสาเหตุที่ Jitta Ranking Top 30 ทำผลตอบแทนต่ำกว่าเล็กน้อยนั้นเป็นเรื่องปกติ
ซึ่งผลลัพธ์ของตลาดสหรัฐฯ นั้นก็เข้าใจได้ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาหุ้นบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ต่างจดทะเบียนเข้าตลาดเป็นจำนวนมาก หลังจาก IPO (Initial Public Offering) ราคาก็พุ่งทะยาน ประกอบกับผู้คนทั่วโลกใช้เทคโนโลยีมากขึ้น หุ้นเทคโนโลยีจึงมีมูลค่าสูงขึ้น และเข้ามาถ่วงน้ำหนักดัชนี S&P500 มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ดัชนี S&P500 วิ่งสูงตามไปด้วย
ในขณะที่การเลือกหุ้นแบบ Jitta Ranking Top 30 นั้น เป็นการเลือกที่เน้น “ธุรกิจที่ดี ในราคาที่เหมาะสม” ตามแบบฉบับการลงทุนเน้นคุณค่าแบบดั้งเดิม จึงไม่ค่อยมีหุ้นเทคโนโลยีรวมอยู่ในลิสต์ มูลค่าของหุ้นจึงอาจจะไม่ได้ขึ้นแรงเหมือนดั่งหุ้นเทคโนโลยี
แต่ถึงจะไม่ค่อยมีหุ้นเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบ Jitta Ranking Top 30 ก็ยังสามารถสร้างผลงานได้พอๆ กับดัชนี S&P500 ในระยะเวลา 10 ปี
ยิ่งถ้าพิจารณาเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีด้วยแล้ว Jitta Ranking Top 30 ยิ่งแสดงประสิทธิภาพในการเอาชนะดัชนีตลาดหุ้นออกมาได้อย่างชัดเจน ทีมงาน Jitta มองเห็นถึงโอกาสการเติบโตที่จะมากับหุ้นเทคโนโลยีแห่งอนาคต จึงได้พัฒนาอัลกอริทึมสำหรับคัดเลือกหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่พื้นฐานดี และมูลค่าเหมาะสม ขึ้นมา สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเหล่านี้ ผ่านบริการกองทุนส่วนบุคคลของ Jitta Wealth ภายใต้นโยบายที่ชื่อว่า Jitta Ranking – U.S. Tech
เมื่อนำผลตอบแทน back test ของ Jitta Ranking – U.S. Tech ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับดัชนี Nasdaq ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนผลตอบแทนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีแล้วก็จะพบว่า ผลตอบแทนชนะดัชนีแบบขาดลอย
หมายเหตุ ผลตอบแทนของ Jitta Ranking – U.S. Tech เป็นผลตอบแทนที่หักค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กลยุทธ์การลงทุน “หุ้นดีราคาถูก” ของ Jitta Ranking Top 30 นั้น เป็นกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวดีเมื่อเทียบกับดัชนีตลาด และสามารถนำไปต่อยอดคัดเลือกหุ้นเทคโนโลยี สำหรับนักลงทุนที่ชอบหุ้นเติบโตได้อีกด้วย
ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 12 ปี ของ Jitta Ranking เทียบกับดัชนีตลาด
สุดท้าย หากมองย้อนกลับไปถึงปี 2552 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ Jitta ใช้ในการทดสอบผลตอบแทนย้อนหลังของกลยุทธ์การลงทุน Jitta Ranking Top 30 คุณจะพบว่าผลตอบแทนของทุกตลาดสามารถเอาชนะดัชนีได้ทั้งหมด โดยเฉลี่ยแล้ว Jitta Ranking Top 30 ทำได้ 20.04% ต่อปี ในขณะที่ดัชนีตลาดโดยรวมทำได้เฉลี่ย 7.90% หรือเอาชนะได้เฉลี่ย 12.13% นั่นเอง
- Jitta Ranking Top 30 ทำผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 12 ปีสูงสุดในประเทศอินเดีย โดยทำได้สูงถึง 33.41% ในขณะที่ดัชนี NIFTY50 ทำได้ 13.82% ชนะไป 19.60%
- Jitta Ranking Top 30 ทำผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 12 ปีต่ำที่สุดในประเทศแคนาดา แต่ผลตอบแทนก็ยังเป็นบวกอยู่ที่ 12.00% ในขณะที่ดัชนี TSX ทำได้ 5.68% ชนะไป 7.31%
- ประเทศที่ Jitta Ranking Top 30 ทำผลตอบแทนนำห่างดัชนีตลาดมากที่สุด คือสหราชอาณาจักร โดยเอาชนะไป 22.59% ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย 25.78% ต่อปี เทียบกับดัชนี FTSE100 ที่ทำได้เพียง 3.19%
- ประเทศที่ Jitta Ranking Top 30 ทำผลตอบแทนระยะยาวชนะตลาดน้อยที่สุดคือสหรัฐอเมริกา โดยเอาชนะไป 2.35% ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย 14.96% ต่อปี เทียบกับดัชนี S&P500 ที่ทำได้ 12.61% ต่อปี
เมื่อพิจารณาผลตอบแทนในระยะ 5 ปี 10 ปี และ 12 ปี คุณจะเห็นได้ชัดเจนว่า ยิ่งลงทุนตาม Jitta Ranking Top 30 นานขึ้น โอกาสที่คุณจะทำผลตอบแทนชนะตลาดก็เพิ่มมาขึ้น
นอกจากนี้ ในระยะยาวถึง 10-12 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นของ Jitta Ranking Top 30 เป็นบวกทุกตลาดหุ้น สะท้อนว่า หากคุณลงทุนตาม Jitta Ranking Top 30 นานพอ ความเสี่ยงในการขาดทุนของคุณก็แทบจะเป็น 0
ดังนั้น การเปรียบเทียบผลตอบแทนของการลงทุนในหุ้น สิ่งสำคัญที่คุณต้องตระหนักอยู่เสมอ คือ ไม่มีกลยุทธ์ใดสามารถเอาชนะตลาดได้ทุกปี เพราะการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น มีทั้งปัจจัยบวกปัจจัยลบ มีความไม่แน่นอน มีภาวะอารมณ์ที่ส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นในระยะสั้น
ทำให้บางปี ถ้าคุณโชคดีเลือกหุ้นได้ถูกต้อง เป็นหุ้นที่ดี ราคาถูกมาก และตลาดเริ่มมาเห็นคุณค่าของหุ้นเหล่านั้นพอดี คุณก็อาจจะทำผลตอบแทนได้ดีชนะดัชนีตลาด แต่ถ้าปีนั้นนักลงทุนคนอื่นๆ ในตลาดไม่เห็นคุณค่าของหุ้นที่คุณเลือก และไปนิยมชมชอบหุ้นกลุ่มอื่นๆ แทน ทำให้หุ้นกลุ่มนั้นมีราคาสูงขึ้น ผลตอบแทนของคุณก็อาจจะแพ้ตลาดได้
แต่ความผันผวนที่เกิดจากอารมณ์ของตลาดหุ้นจะเกิดขึ้นได้แค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น สุดท้าย ราคาหุ้นระยะยาวก็ต้องสะท้อนพื้นฐานของหุ้นที่คุณถือ ทำให้หลังจากปีที่ผลตอบแทนของคุณแพ้ตลาดหุ้น ก็กลับมาชนะได้เช่นเดียวกัน
ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 12 ปี ของ Jitta Ranking แต่ละประเทศ
ถ้าคุณลองพิจารณาดูผลตอบแทนของ Jitta Ranking Top 30 ในแต่ละประเทศ ก็จะเห็นว่าในแต่ละปี ผลตอบแทนชนะตลาดบ้าง แพ้ตลาดบ้าง เช่น ผลตอบแทนประเทศไทย ดังนี้
ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 12 ปี ของ Jitta Ranking Top 30 ประเทศไทย เทียบกับ SET50
- ใน 12 ปี จะมีปีที่ Jitta Ranking Top 30 ทำผลตอบแทนชนะตลาดทั้งหมด 9 ปี
- ใน 9 ปีที่ Jitta Ranking Top 30 ทำผลตอบแทนชนะตลาดนั้น แบ่งเป็น ชนะติดๆ กัน 8 ปี ตั้งแต่ 2552-2559 และพลิกกลับมาชนะอีกครั้งในปี 2563
- มีปีที่ทำผลตอบแทนแพ้ดัชนีตลาดทั้งหมด 3 ปีติดๆ กัน นั่นคือปี 2560-2562
ปีที่แล้ว เราได้บอกไปแล้วว่า การที่ผลตอบแทนของ Jitta Ranking Top 30 จะแพ้ตลาดบ้างยังไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนัก เพราะก่อนหน้านี้เราชนะตลาดติดต่อกันเกือบ 10 ปี เพิ่งจะมาเริ่มแพ้บ้างตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมา ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
นอกจากนี้ ปีที่แล้วเรายังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ผลตอบแทนของ Jitta Ranking Top 30 น่าจะกลับมาชนะตลาดอีกครั้งในเร็วๆ นี้ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะปี 2563 Jitta Ranking Top 30 ประเทศไทย สามารถพลิกกลับมาเอาชนะดัชนีตลาดได้อีกครั้ง โดยเป็นการชนะที่สูงถึง 20.34% เลยทีเดียว
ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 12 ปี ของ Jitta Ranking Top 30 สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง และเยอรมนี
ไม่เพียงแค่ Jitta Ranking Top 30 ประเทศไทยเท่านั้น แม้แต่ผลตอบแทนรายปีของ Jitta Ranking Top 30 ในสหรัฐฯ ฮ่องกง และเยอรมนี ก็จะเห็นเป็นรูปแบบเดียวกัน คือมีชนะบ้าง แพ้บ้าง โดยใน 12 ปีที่ผ่านมา จะมีปีที่ Jitta Ranking Top 30 ทำผลตอบแทนชนะตลาดทั้งหมด 9 ปี และแพ้ตลาดทั้งหมด 3 ปี เช่นเดียวกับประเทศไทย
ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 12 ปี ของ Jitta Ranking Top 30 สิงคโปร์ เทียบกับ STI
สำหรับประเทศสิงคโปร์ ที่ Jitta Ranking Top 30 ทำผลตอบแทนได้สูงที่สุดในปี 2563 คือ 98.40% นับว่าเป็นผลตอบแทนที่สูงมาก และสูงกว่าดัชนี STI ที่ติดลบถึง 110.61% นั้น จากสถิติย้อนหลัง 12 ปีจะพบว่า
- Jitta Ranking Top 30 เคยทำผลตอบแทนได้สูงสุดถึง 109.21% ในปี 2552
- ผลตอบแทนของ Jitta Ranking Top 30 ชนะตลาดถึง 11 ปี และแพ้ตลาดเพียงปีเดียว คือปี 2561
ทำให้สิงคโปร์เป็นประเทศที่ Jitta Ranking Top 30 ทำผลตอบแทนชนะตลาดสูงเป็นอันดับ 2 จากทั้งหมด 13 ตลาด
ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 12 ปี ของ Jitta Ranking Top 30 สหราชอาณาจักร เทียบกับ FTSE100
ส่วนตลาดที่ Jitta Ranking Top 30 ทำผลตอบแทนชนะตลาดได้มากที่สุดเป็นอันดับ 1 นั้น ก็คือ สหราชอาณาจักร โดยทำผลตอบแทนเฉลี่ย 12 ปีได้ 25.78% ต่อปี ชนะดัชนี FTSE 100 ไป 22.59%
- สหราชอาณาจักรเป็นตลาดเดียวที่ Jitta Ranking Top 30 เอาชนะตลาดได้ 12 ปีติดต่อกัน
- ผลตอบแทนสูงที่สุดที่ Jitta Ranking Top 30 เคยทำได้คือ 77.95% ในปี 2552
- ผลตอบแทนต่ำที่สุดที่ Jitta Ranking Top 30 เคยทำได้คือ -4.43% ในปี 2554
- ใน 12 ปีที่ผ่านมา Jitta Ranking Top 30 ให้ผลตอบแทนติดลบเพียงปีเดียว ในขณะที่ดัชนี FTSE 100 ให้ผลตอบแทนติดลบถึง 5 ปี รวมถึงปี 2563 ที่ผ่านมาด้วย
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนที่ Jitta Ranking Top 30 ทำได้ในตลาดสหราชอาณาจักรถือเป็นข้อยกเว้น และไม่สามารถการันตีได้ว่าในอนาคต Jitta Ranking Top 30 จะสามารถรักษาสถิติ เอาชนะตลาดติดต่อกันไปไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะอย่างที่คุณเห็นแล้วว่า โดยส่วนใหญ่ ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง Jitta Ranking Top 30 ชนะตลาดบ้าง แพ้บ้าง นี่คือ ‘ธรรมชาติ’ ที่แท้จริงของการลงทุน
หากคุณลงทุนในสหราชอาณาจักรตาม Jitta Ranking และได้ผลตอบแทนดีมาโดยตลอด ก็อาจจะต้องเผื่อใจไว้บ้างว่า ในอนาคต อาจจะมีบางปีที่คุณทำผลตอบแทนแพ้ตลาดบ้าง ลงทุนอย่างไม่ประมาท และพยายามปรับพอร์ตอย่างมีวินัย ตามหลักการ ต่อไปเรื่อยๆ ถึงจะสามารถรักษาผลตอบแทนให้ชนะตลาดได้ในระยะยาว
———-
วิกฤต Covid-19 ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ก็ทำให้เราเผชิญภาวะที่ดัชนีตลาดหุ้นร่วงดิ่งอย่างน่าตกใจ แต่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 10-20% ถือเป็นการปรับฐานทั่วไป ยังไม่ถึงกลับวิกฤตขนาดนั้น และตลาดหุ้นก็รีบาวด์กลับมาได้แล้ว
ซึ่ง Jitta Ranking Top 30 ก็สะท้อนออกมาให้เห็นชัดเจน ด้วยผลตอบแทนปี 2563 ที่ทำกำไรในตลาดส่วนใหญ่ เป็นบทพิสูจน์ว่า หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น สามารถช่วยให้คุณลงทุนผ่านความผันผวน ผ่านวิกฤตต่างๆ ของตลาดหุ้นไปได้อย่างแน่นอน
คุณอาจจะเห็นพอร์ตลงทุนของคุณผันผวนตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ้าง แต่ในระยะยาวแล้วพอร์ตลงทุนจะแข็งแกร่งและเติบโตขึ้นตามคุณภาพของกิจการที่คุณลงทุนไป
และยิ่งลงทุนตาม Jitta Ranking Top 30 นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสทำผลตอบแทนชนะดัชนีตลาดมากขึ้นเท่านั้น
หากคุณสนใจลงทุนตาม Jitta Ranking Top 30 สามารถดูรายชื่อหุ้นได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพียงล็อกอินเข้าเว็บไซต์ www.jitta.com เลือกประเทศที่คุณสนใจลงทุน และซื้อหุ้นตามลิสต์ที่ Jitta เรียงไว้ให้ จากซ้ายไปขวา บนลงล่าง
หรือหากคุณจะให้ Jitta Wealth ช่วยบริหารจัดการเงินลงทุนแทนคุณก็ได้ เพียงเปิดบัญชีกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking และเลือกนโยบายที่สนใจลงทุน จาก 3 ประเทศที่ให้บริการ ได้แก่ ไทย สหรัฐฯ หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ และเวียดนาม สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.jittawealth.com
สำหรับปี 2564 นี้ ขอให้เป็นปีที่ดีในโลกของการลงทุน และหวังว่าการแพร่ระบาด Covid-19 จะเริ่มบรรเทาลงหลักทั่วโลกได้รับวัคซีนในอีกไม่ช้านี้