by Jitta
วันที่ 12 ม.ค. 2564 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 12 ม.ค. 2566
    Big Tech ที่ใหญ่กว่าประธานาธิบดี

    จับตาทิศทางหลัง Joe Biden เข้ารับตำแหน่งสัปดาห์หน้า

    เข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ของปีวัวแล้ว กับสถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19 ทั่วโลกที่ยังไม่คลี่คลาย

    สำหรับในไทยยังคงต้องติดตามข่าวกันต่อว่า ตัวเลขผู้เชื้อรายใหม่ลดลงหรือไม่ มาตรการควบคุมจะจบภายในเดือนม.ค. ได้หรือไม่ เพราะเป็นความหวังเดียวที่จะดึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยให้กลับมาคึกคักได้อีกครั้ง

    สัปดาห์นี้ เราจะมาอัปเดตสถานการณ์การติดเชื้อ Covid-19 ในประเทศไทย การแพร่ระบาดครั้งใหม่ในจีน ที่มาพร้อมกับทีมสืบสวนจาก WHO การถ่ายโอนอำนาจของ Donald Trump และการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการของ Joe Biden ท่ามกลางความไม่พอใจของผู้สนับสนุน Donald Trump ถึงขั้นก่อการจลาจลในที่ประชุมสภาช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และผลตอบแทน Jitta Ranking ประจำปี 2563


    ตัวเลขผู้ติดเชื้อ Covid-19 ในไทยยังเกินร้อยต่อวัน

    แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันไม่ได้พุ่งสูงทำนิวไฮเหมือนในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ตัวเลขรวมทะลุร้อย สะท้อนว่า สถานการณ์ยังไม่น่าวางใจเท่าไร

    รายงานล่าสุดของการระบาดระลอกใหม่ นับตั้งแต่ 18 ธ.ค. 2563 ถึง 11 ม.ค. 2564 ตัวเลขรวมอยู่ที่ 6,090 คน ใน 58 จังหวัด และ 5 จังหวัดที่ติดเชื้อมากที่สุด คือ สมุทรสาคร ชลบุรี ระยอง กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ

    รัฐบาลยังใช้มาตรการในพื้นที่ควบคุมสูงสุด ที่เป็นคลัสเตอร์ใหญ่ในการแพร่ระบาดรอบใหม่นี้ โดยมีเป้าหมายควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว ตามที่ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปอีก จนถึงสิ้นเดือนก.พ.

    ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ ภาคการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซันเงียบเหงา ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ปริมาณการเดินทางลดลง เพราะรัฐบาลขอความร่วมมืองดเดินทางไปต่างจังหวัดด้วย

    สำหรับตลาดเงินตลาดทุนในสัปดาห์ที่แล้ว หุ้นไทยกลับมาทะลุ 1,500 จุดได้อีกครั้งในรอบ 11 เดือน เรียกได้ว่า ตัวเลขผู้ป่วย Covid-19 พุ่งสูงทำนิวไฮไม่สะเทือนตลาดหุ้นไทยเลย

    แต่ทิศทางหุ้นไทยก็ยังวางใจไม่ได้ คาดการณ์กันว่า Covid-19 ระบาดรอบนี้ หากไม่จบภายในเดือนม.ค. จะฉุดเศรษฐกิจไทยปี 2564 ทรุดลงไปอีก

    อีกหนึ่งความหวังเรา คือ วัคซีนป้องกันที่จะเข้าไทยปลายเดือนก.พ. เป็นต้นไป


    ตัวเลขผู้ติดเชื้อ Covid-19 ในจีนทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 เดือน

    เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทางการจีนประกาศจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 ใหม่ 103 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในรอบ 5 เดือน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นเคสที่มาจากมณฑลเหอเป่ย์ ทางตอนเหนือของแม่น้ำเหลือง ใกล้กรุงปักกิ่ง ซึ่งขณะนี้เมืองหลวงฉือเจียจวงถูกล็อกดาวน์ไปแล้ว

    การแพร่ระบาดรอบนี้เริ่มขึ้นเมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ในเมืองต้าเหลียน มณฑ์เหลียวหนิง ซึ่งเป็นเมืองทางชายฝั่งที่สำคัญของจีน ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ทำงานอยู่ที่ท่าเรือขนส่งสินค้า ก่อนจะเริ่มพบผู้ติดเชื้อในมณฑลใกล้เคียงอย่างเฮย์หลงเจียง จี๋หลิน และเหอเป่ย์

    ทางการต้าเหลียนเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ลำดับพันธุกรรมของเชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดรอบนี้ ไม่เหมือนกับการระบาดคราวก่อน คาดว่าติดมากับเรือขนส่งสินค้าของต่างชาติที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง

    แม้จำนวนผู้ติดเชื้อจะยังน้อย เมื่อเทียบกับการระบาดเมื่อต้นปี 2563 แต่ทางการจีนก็ไม่สามารถวางใจได้ โดยเฉพาะเมื่อ WHO กำลังจะเข้ามาสืบสวนต้นตอของ Covid-19 ในวันพฤหัสบดีนี้ และเทศกาลตรุษจีนจะมาถึงในอีก 1 เดือนข้างหน้า

    โดยนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ กระโดดจากค้างคาวมาสู่คนผ่านพาหะบางอย่าง แต่ก็มีบางกลุ่มที่เชื่อว่าเชื้ออาจจะหลุดออกมาจากห้องแล็บในอู่ฮั่น ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยอันดับต้นๆ ของโลกเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา 

    อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการทำวิจัยเรื่องไวรัสถูกควบคุมอย่างหนักโดยรัฐบาล จีนจึงถูกกล่าวหาว่าจงใจปกปิดข้อมูล ไม่แชร์ข้อมูลกับ WHO ตอนที่เชื้อไวรัสเริ่มระบาดแรกๆ จนรับมือได้ไม่ทันการและเชื้อระบาดไปทั่วโลก คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 1.97 ล้านราย


    จับตา Joe Biden เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี 20 ม.ค.

    ทิศทางการเมืองสหรัฐฯ จะเปลี่ยนโฉมทันทีที่ Biden เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะสภาคองเกรสก็ลงมติรับรองผลการเลือกตั้งไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดย Biden ที่ชนะ Donald Trump ด้วยคะแนน 306 ต่อ 232

    แต่ที่โกลาหลวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกรัฐสภา เพราะประชาชนผู้สนับสนุน Trump เข้ามาขัดขวางไม่ให้สภาคองเกรสลงมติรับรองผลการเลือกตั้งได้ ส่งผลให้มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เป็นทั้งประชาชนและตำรวจ

    แม้ว่าขั้นตอนการโหวตจะไม่ได้ราบรื่นนัก สุดท้าย Biden ก็จะได้เข้าทำงานในทำเนียบขาวอย่างเต็มตัวสัปดาห์หน้าแล้ว

    แต่ถึงจะเหลืออีกแค่ไม่กี่วัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร Nancy Peloci ก็เดินหน้ากดดันรองประธานาธิบดี Mike Pence และคณะรัฐมนตรีให้ถอดถอน Trump ออกจากตำแหน่ง ไม่อย่างนั้นสภาผู้แทนฯ จะเสนอเรื่องถอดถอน Donald Trump จากตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ด้วยข้อหา “จงใจยั่วยุให้ใช้ความรุนแรงกับรัฐบาลสหรัฐฯ”

    อย่างไรก็ตาม มาตรการเยียวยาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 ก็ผ่านรัฐสภาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อปลายปีที่แล้ว เศรษฐกิจภาพรวมอาจจะติดลบแต่ตลาดหุ้น NYSE และ Nasdaq กลับโตสวนทาง

    คงต้องฝากความหวังว่า Biden จะดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไร เพราะทั่วโลกกำลังจับตาดูว่า สหรัฐฯ จะลดแรงกดดันจากสงครามการค้ากับจีนหรือไม่


    บริษัทเทคโชว์เหนือ แบนประธานาธิบดีจากแพลตฟอร์ม

    ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในรัฐสภา ส่งผลให้ Twitter แพลตฟอร์มโปรดของ Trump ตัดสินใจแบนบัญชีผู้ใช้งานของ Trump แบบถาวร และยังมี Google Facebook Amazon และ Apple แสดงท่าทีต่อต้านความรุนแรงที่เกิดขึ้นด้วย

    โดย Facebook ได้แบนบัญชี Facebook และ Instagram ของ Trump อย่างน้อยจนถึงวันที่ 20 ม.ค. หรือวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของ Biden

    ขณะที่ Google กับ Apple ถอดแอปพลิเคชัน Parler ที่กลุ่มขวาจัดผู้สนับสนุน Trump ชอบใช้งาน ออกจาก App Store ของตนเอง 

    ส่วน Amazon ก็ยกเลิกไม่ให้ Parler ใช้บริการคลาวด์ของ AWS อีกต่อไป ทำให้แอปพลิเคชันดังกล่าวต้องไปหาโฮสติ้งอื่นแทน แถมยังแบนช่องสตรีมมิงของ Trump บน Twitch ด้วย

    สื่อโซเชียลอย่าง Snapchat เองก็ไม่น้อยหน้า ล็อกบัญชี ไม่ให้ Trump เข้าใช้งานเหมือนกัน

    สำหรับ Shopify และ PayPal นั้น ก็ได้ยกเลิกการให้บริการเว็บไซต์ขายของที่ระลึกของ Trump และปิดบัญชีที่ระดมเงินให้กลุ่มผู้สนับสนุน Trump เพราะมีหลายคนที่เดินทางไปร่วมประท้วงในเหตุจลาจลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    เรียกได้ว่า เป็นความร่วมมือร่วมใจกันโดยไม่ได้นัดหมายของบริษัทเทคใหญ่ๆ ที่ต้องการแสดงจุดยืนต่อต้านความรุนแรง และการเผยแพร่ข่าวสารที่เป็นเท็จเกี่ยวกับการเลือกตั้งของ Trump ที่ทำผ่านแพลตฟอร์มของตนเอง

    เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงอำนาจที่บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้มีครอบครองอยู่ในมือ บริษัทเหล่านี้สามารถเป็นเชื้อไฟให้ข่าวสารแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็สามารถปิดกั้นไม่ให้คนบางคนแสดงความคิดเห็นได้ แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นประธานาธิบดีก็ตาม

    แน่นอนว่า อำนาจเหล่านี้ กำลังถูกเพ่งเล็งโดยรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพรรคเดโมแครต รีพับลิกัน หรือแม้แต่รัฐบาลในยุโรปและทวีปอื่นๆ บริษัทเทคโนโลยีอาจจะต้องเผชิญกับกฎระเบียบข้อบังคับใหม่ๆ อีกมากมาย ที่จะเข้ามาแทรกแทรงการทำงาน และควบคุมอิทธิพลของบริษัทในอนาคต


    มาร์เก็ตแคปหุ้น Tesla ทะลุ 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ 

    แรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่สำหรับ Tesla เพิ่งจะเข้าไปอยู่ในดัชนี S&P 500 ได้ไม่กี่สัปดาห์ เปิดศักราชใหม่ ด้วยราคาพุ่งไปอยู่ 880.02 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 8 ม.ค. มาร์เก็ตแคปจบที่ 834,170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ราคาหุ้น Tesla พุ่งขึ้นกว่า 743% ในปีเดียว จากราคา 83.67 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อปลายปี 2562 และปิดที่ 705.67 ดอลลาร์สหรัฐสิ้นปี 2563

    ส่งผลให้ Elon Musk CEO ของ Tesla กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกแซงหน้า Jeff Bezos บอสใหญ่ของ Amazon ไปเรียบร้อย

    Tesla เป็นผู้พัฒนาและผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle – EV) จะเรียกว่า เป็นผู้นำด้านนวัตกรรม EV ของโลกคงไม่ผิดนัก

    ปี 2563 Tesla ขายรถ EV ไปได้ 499,550 คันทั่วโลก ผลิตรถได้ 509,737 คัน มีโรงงานผลิตที่จีน ตลาด EV ขนาดใหญ่ของโลก และมีแผนเพิ่มแหล่งผลิตรถในเอเชียด้วย ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย อินโดนีเซีย และไทย

    ผลประกอบการของ Tesla สามารถทำกำไรได้ 5 ไตรมาสติดต่อกัน นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 ถึงไตรมาสที่ 3 ปี 2563 เรียกได้ว่า โอกาสเติบโตอุตสาหกรรม EV ของโลก อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม


    ผลตอบแทน Jitta Ranking ในรอบปี 2563

    ท่ามกลางแรงกดดันของ Covid-19 ที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกทรุกหนักในช่วงกลางเดือนมี.ค. สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้นักลงทุนทั่วโลก

    พอสถานการณ์คลี่คลาย ตลาดหุ้นเริ่มกลับมารีบาวด์อีกครั้งในช่วงปีหลัง ดัชนีบางประเทศทำนิวไฮใหม่ มาร์เก็ตแคปโตก้าวกระโดด บางประเทศทำได้เสมอตัว และดัชนีบางประเทศยังไม่สามารถกลับไปถึงระดับเดิมก่อน Covid-19

    สำหรับ Jitta Ranking ได้เปิดเผยผลตอบแทนในรอบ 1 ปี ของดัชนีตลาดหุ้น 13 ประเทศ โดย Jitta Ranking Top 30 ให้ผลตอบแทนเป็นบวกใน 11 จาก 13 ตลาด

    เราได้รายงานผลตอบแทนย้อนหลังจาก 5 ปี 10 ปี และ 12 ปี รวมทั้งมีผลตอบแทนของ Jitta Ranking แยกประเทศให้คุณสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณาและจัดพอร์ตลงทุนได้

    อ่านต่อ


    นักลงทุน Jitta Wealth แฮปปี้ พอร์ตโตรับปีใหม่

    เราได้รวบรวมพอร์ตลงทุนของลูกค้า Jitta Wealth ที่เริ่มลงทุนในบริการกองทุนส่วนบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Jitta Ranking ที่ลงทุนในหุ้นไทย เวียดนาม สหรัฐฯ และหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ

    รวมทั้งเราได้ออกบริการใหม่อย่าง Global ETF และ Thematic ที่จัดพอร์ตลงทุนในกองทุน ETF ต่างประเทศที่น่าสนใจและมีโอกาสเติบโต

    หากคุณยังสงสัย และมีคำถามว่า Jitta Wealth มีการลงทุนอย่างไร ลูกค้ามีผลตอบแทนเท่าไร ลองอ่านมุมมองของพวกเขากัน

    อ่านต่อ


    [Promo] เทรนด์ใหม่…ลงทุนให้คนที่คุณรัก

    ช่วงเทศกาลปีใหม่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ เทศกาลตรุษจีน และวาเลนไทน์ก็จะมาถึงอีกแล้ว

    นอกจากอาหารอร่อยๆ เสื้อผ้าสวยๆ เครื่องประดับคุณภาพดีแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่คุณสามารถให้เป็นของขวัญได้ นั่นก็คือ อนาคตทางการเงินที่มั่นคง ของคนที่คุณรักครับ

    ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนให้ลูกอย่างคุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO ของ Jitta Wealth ที่ลงทุนใน Global ETF เพื่อรับขวัญลูกสาวคนที่ 2 น้องมิล่า ที่เพิ่งลืมตาดูโลกมาได้ 1 เดือนครับ โดยตั้งใจลงทุนเริ่มต้น 100,000 บาทและเพิ่มทุนเดือนละ 10,000 บาทไปเรื่อยๆ จนน้องมิล่าอายุ 20 ปี 

    เงินของน้องมิล่าจะเติบโตจาก 100,000 เป็นเท่าไหร่ อ่านต่อได้ที่นี่

    หรือจะลงทุนให้คุณพ่อคุณแม่ อย่างคุณเนย ธนพร เจียรนัยกุลวาณิช จากเพจ Stock JourNoey ที่เปิดพอร์ต Thematic 2 พอร์ต เป็นของขวัญปีใหม่ให้คุณพ่อกับคุณแม่ คนละพอร์ตครับ

    นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะมีความสุขแล้ว คนให้เองก็มีความสุขไปด้วย ดูพอร์ตทั้งสองของคุณเนยได้ที่นี่


    ช่วงเวลาที่ไม่สามารถเดินทางได้ปกติ บางคนต้อง Work from Home หรือต้องเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้าน ลดการพบปะผู้คนหรือไปในที่ชุมชน อาจจะทำให้เรามีชีวิตประจำวันที่ไม่สะดวกสบายนัก 

    แต่นักลงทุนอย่างเรา ต้องติดตามสถานการณ์ Covid-19 ทั้งในไทยและทั่วโลกอย่างใกล้ชิด เพราะในวิกฤตโรคระบาดแบบนี้ ยังมีโอกาสดีๆ ซ่อนอยู่ เพื่อให้คุณฉวยจังหวะลงทุน สร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว

    แล้วพบกันสัปดาห์หน้า