ประเทศไทยของเรามีตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีไม่น้อยหน้าใคร
แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตไปหาโอกาสการลงทุนที่กว้างขึ้น หลากหลายขึ้น และแข็งแกร่งขึ้น สหรัฐอเมริกาคงอยู่ในความสนใจอันดับต้นๆ แน่ๆ เพราะหุ้นมีมูลค่าเป็นแสนล้านดอลล่าร์ และมีฐานลูกค้าทั่วโลก
ทว่า…คุณอาจจะได้ยินข่าวคราวมากมายหลายแง่ทั้งบวกและลบ จนเริ่มสับสนว่า ตกลงตลาดนี้ดีจริงหรือเปล่า
เช่น อัตราการว่างงานในสหรัฐฯ ลดต่ำลงเกือบจะที่สุดในรอบ 17 ปีครึ่ง ส่งสัญญาณดีว่าเศรษฐกิจของประเทศยังคงเดินหน้าตามเป้า ตามมาด้วยข่าวประธานาธิบดีทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันผันผวนกระทบผลประกอบการ
สิ่งเหล่านี้ไม่อาจทำให้ปรมาจารย์วอร์เรน บัฟเฟตต์ สะทกสะท้านแต่อย่างใด!
คุณปู่ยังบอกกับที่ประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาอยู่เลยว่า
“ผมเต็มไปด้วย ความหวังและมั่นใจในอนาคตของสหรัฐฯ”
แถมย้ำในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นฉบับล่าสุด ด้วยว่า
“อเมริกายังคงเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์”
อุดมสมบูรณ์ขนาดไหน…ต้องลองพิจารณาตัวเลขกันดีๆ คุณจะพบว่าสิ่งที่คุณปู่พูดนั้น ไม่ได้ไกลจากความเป็นจริงเลย
เศรษฐกิจยังขยายตัวได้เรื่อยๆ
ถ้าวัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพี เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาถือว่าใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก โดยใหญ่กว่าจีน ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ประมาณ 66% และใหญ่กว่าไทย 45 เท่า
ในช่วง 7 ถึง 8 ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของจีดีพีสหรัฐฯ อยู่ประมาณ 2% แล้ว อาจจะดูจิ๊บจ๊อย แต่ก็สามารถทำให้รายได้ต่อหัวของประชากรสหรัฐอเมริกาเพิ่มจาก $59,000 เป็น $79,000 ได้ภายในเวลาเพียง 25 ปี
แล้วสิ่งที่ขับเคลื่อนการเติบโตของจีดีพี ก็คือเทคโนโลยีและนวัตกรรม สองจุดแข็งของธุรกิจสหรัฐอเมริกา ที่ทำให้บริษัทขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด กลายเป็นธุรกิจระดับโลกแบบติดจรวด
“ตอนนี้ธุรกิจยิ่งแข็งแกร่งกว่านั้นอีก” คุณปู่บอกสำนักข่าว CNBC เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา “ดูจากดัชนีที่ใช้วัดการดำเนินธุรกิจต่างๆ ของ Berkshire Hathaway ตอนนี้แสดงถึงความแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมา และนับตั้งแต่ตอนตลาดแตกตื่น มันก็มีแต่จะดีขึ้นทุกปีๆ”
จึงไม่แปลกที่คุณปู่ จะมองเห็นแต่โอกาส โอกาส และโอกาส
ธุรกิจเติบโตไม่หยุดยั้ง
ที่ Berkshire Hathaway ของคุณปู่เติบโตมาถึงหลัก $80 พันล้านได้ ก็เพราะเขาลงทุนในธุรกิจของสหรัฐฯ ถึง 90% ของพอร์ต เมื่อคุณปู่เองไม่ใช่คนชอบซื้อๆ ขายๆ หุ้นเพื่อเอากำไรระยะสั้นอยู่แล้ว จึงสรุปได้เลยว่าความมั่งคั่งของ Berkshire นั้น เพราะลงทุนในการเติบโตของธุรกิจสหรัฐอเมริกา ล้วนๆ
ธุรกิจสหรัฐฯ เติบโตมากขนาดไหน ก็ดูได้ไม่ยาก…
ถ้าคุณลงทุนตามดัชนี S&P500 ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดการเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงปีค.ศ. 1940 ด้วยเงินเริ่มต้น $10,000 วันนี้เงินของคุณจะกลายเป็น $51 ล้าน โดยที่คุณไม่ต้องคิดอะไรมากเลย
แม้จะผ่านวิฤตเศรษฐกิจมากี่ครั้ง สงครามกี่หน ธุรกิจของสหรัฐฯ ก็ยังกลับมาผงาดได้เหมือนเดิม แถมยังมีทีท่าว่าจะไปได้ไกลกว่าเดิมอีก
เมื่อเห็นแนวโน้มระยะยาวที่ชัดเจนขนาดนี้แล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับข่าวสาร หรือสถานการณ์ตึงเครียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง เหมือนบัฟเฟตต์ที่ประสบความสำเร็จขนาดนี้ เพราะเขาไม่ค่อยใส่ใจกับเสียงรบกวนเหล่านี้มากนัก
ยิ่งตลาดหุ้นผันผวน เพราะความวิตกของนักลงทุนมากเท่าไหร่ เขายิ่งใช้มันเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นดีๆ ในราคา outlet พอตลาดหายตื่นตระหนก พอร์ตของเขาก็กลับมาทำกำไรมหาศาล แถมผลกำไรมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ดังนั้น เมื่อคุณเลือกลงทุนในธุรกิจที่แข็งแกร่ง ในราคาที่เหมาะสมแล้ว เงินลงทุนของคุณก็จะผ่านร้อนผ่านหนาวในทุกๆ วิกฤตไปได้ พร้อมเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา
มีบริษัทแข็งแกร่งให้เลือกเหลือเฟือ
เมื่อคุณมองไปรอบๆ คุณจะเห็นแบรนด์สัญชาติอเมริกันมากมาย ตั้งแต่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด เสื้อผ้า ไปจนถึงของใช้ทั่วไปในบ้าน ธุรกิจที่สามารถขยายตัวออกไปหาฐานลูกค้าทั่วโลกได้แบบนี้ ดูแว้บเดียวก็รู้ว่ามีแววพาเงินลงทุนของคุณเติบโตไปด้วย
ยิ่งคุณเข้าไปตรวจสอบ Jitta Score ซึ่งเป็นการให้คะแนนหุ้นตามความแข็งแกร่งของพื้นฐานธุรกิจ คุณจะยิ่งเห็นเลยว่าโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่ดีในสหรัฐอเมริกา นั้นมีเยอะมากๆ
หุ้นกว่า 4,800 ตัวในตลาด NYSE และ NASDAQ ประกอบไปด้วยหุ้นที่มี Jitta Score 7-10 สูงระดับบริษัทที่ยอดเยี่ยมถึง 205 ตัว หรือ 4.25% ของหุ้นในตลาดทั้งหมด ในขณะที่ประเทศไทยมีหุ้นในช่วงคะแนนดังกล่าวเพียง 22 ตัว เท่านั้น
เพราะ Jitta Score เป็นการวิเคราะห์พื้นฐานธุรกิจแบบเข้มงวดมากๆ ยังไม่มีธุรกิจใดใน 7 ประเทศที่ Jitta ให้บริการข้อมูล ทำคะแนนเต็ม 10 ได้เลย พอได้เห็นธุรกิจในสหรัฐอเมริกา ทำคะแนนได้สูงสุดถึง 9.63 ก็ค่อนข้างชัดเจนเลยว่าธุรกิจในสหรัฐฯ นั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ
โอกาสดีๆ เยอะขนาดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณปู่ยังเลือกที่จะลงทุนกับธุรกิจในสหรัฐฯ ก่อนเป็นอันดับแรก
เริ่มลงทุนในสหรัฐอเมริกา
คุณเองก็มีส่วนร่วมเป็นเข้าของธุรกิจดีๆ ที่มีโอกาสเติบโตไปทั่วโลกได้เหมือนกัน แค่เปิดพอร์ตหุ้นกับโบรกเกอร์ที่ให้บริการลงทุนต่างประเทศ แล้วเริ่มซื้อขายด้วยตนเองได้เลย หรือถ้าไม่อยากวุ่นวาย ก็ซื้อหน่วยกองทุนรวมที่ลงทุนในสหรัฐฯ ได้
แต่ถ้าอยากไปลงทุนที่สหรัฐฯ ในสไตล์วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป๊ะๆ นั่นคือซื้อหุ้นดีราคาถูก แล้วถือไว้ยาวๆ Jitta ก็มีบริการกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ที่จะช่วยเลือกหุ้น จัดพอร์ต กระจายความเสี่ยง และปรับพอร์ตให้คุณตามหลักการของคุณปู่
เราจะเลือกซื้อหุ้นดีราคาถูกที่น่าลงทุนที่สุด 30 ตัวแรกในสหรัฐฯ ตามการจัดอันดับของ Jitta Ranking ถ้าคุณเข้าไปดูการจัดอันดับหุ้นสหรัฐฯ ของ Jitta Ranking ที่นี่ จะเห็นได้เลยว่าหุ้นดีราคาถูกที่น่าลงทุนที่สุดในตลาดสหรัฐฯ ตอนนี้คือบริษัท Torchmark Corporation ซึ่งก็เป็นบริษัทที่ Berkshire Hathaway ของคุณปู่ถืออยู่ในพอร์ตเช่นกัน
เมื่อถือหุ้นทั้ง 30 ตัวครบ 1 ปีแล้ว Jitta จึงจะปรับพอร์ตเพื่อซื้อหุ้นดีราคาถูกที่น่าลงทุนที่สุด 30 ตัวแรกของวันนั้น ด้วยความที่เราใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารพอร์ตให้คุณ และซื้อขายหุ้นน้อยมาก ทำให้ Jitta Wealth มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า และยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าที่ดัชนี S&P500 ทำได้อีกด้วย (ดูผลตอบแทน Jitta Ranking ในประเทศสหรัฐฯ)
ที่เหลือคุณก็แค่ปล่อยพอร์ตหุ้นของคุณให้เติบโตไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ มั่นใจในผลตอบแทนที่ดีกว่าระยะยาวอย่างที่คุณปู่พร่ำบอกมาตลอด และไม่ต้องว้าวุ่นกับตลาดหุ้นที่ผันผวนอีกต่อไป
สมัครลงทุนกับ Jitta Wealth ได้ที่ wealth.jitta.com