สรุปประเด็นสำคัญ
- ภาษีขายหุ้น หรือ Financial Transaction Tax เป็นภาษีธุรกิจเฉพาะ ได้รับการยกเว้นมาตั้งแต่ปี 2534 ที่ผ่านมากระทรวงการคลังสื่อสารมาตลอดว่า จะต้องจัดเก็บในอนาคต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ และให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี และลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้
- คาดว่า จะเริ่มเก็บภาษีขายหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 โดยโบรกเกอร์เป็นผู้จัดเก็บกับนักลงทุนเมื่อทำธุรกรรมขายหุ้นสำเร็จ และนำส่งกรมสรรพากรทุกเดือน ในช่วงปี 2566 หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้จะเก็บในอัตรา 0.055% และปี 2567 เป็นต้นไปจะจัดเก็บในอัตรา 0.11%
- ผลกระทบจากภาษีขายหุ้น มีทั้งด้านบวกและลบ เช่น บรรเทาแรงเทขายหุ้นหนักๆ ได้ในภาวะตลาดหุ้นผันผวน และนักลงทุนจะถือครองหุ้นนานขึ้น แต่ต้นทุนการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยลดลง สภาพคล่องและมูลค่าซื้อขายหมุนเวียนก็จะลดลงตาม
- สำหรับนักลงทุนรายย่อย สูตรการคำนวณต้นทุนการทำธุรกรรมขายหุ้น คือ (ค่านายหน้า × VAT) + Trading Fee + Clearing Fee + Regulatory Fee + ภาษีขายหุ้น สำหรับนักลงทุนสถาบัน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้นไทย จะขึ้นอยู่กับการตกลงกับโบรกเกอร์ที่ใช้บริการ แต่ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีขายหุ้นถูกเรียกเก็บเหมือนกัน
- ลองสำรวจต้นทุนค่าธรรมเนียมและภาษีการลงทุนในหุ้นของแต่ละประเทศ จะมีการเก็บค่าธรรมเนียมเมื่อทำธุรกรรมขายเช่นเดียวกัน อาจจะมาในรูป Stamp Duty (อากรแสตมป์) Sales Tax หรือ Transaction Levy ดังนั้นภาษีขายหุ้นของไทย จึงไม่ใช่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่
- หากคุณลงทุนหุ้นไทยด้วยตัวเอง ระหว่างนี้ต้องรอว่า ร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีขายหุ้นจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อไร และนับไปอีก 90 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ และปรับแนวทางการลงทุนส่วนตัว
‘ภาษีขายหุ้น’ เป็นประเด็นที่นักลงทุนไทย เฝ้าติดตามมาเป็นเวลาเกือบ 1 ปี หลังจากที่รัฐบาลส่งสัญญาณชัดแล้วว่า จะเก็บภาษีขายหุ้นอย่างแน่นอน
และไม่ได้ ‘โยนหินถามทาง’ เหมือนที่หลายๆ ฝ่ายวิเคราะห์กันไว้
คาดว่า ปี 2566 นักลงทุนทุกกลุ่มที่มีการขายหุ้นไทย ต้องถูกเก็บภาษีขายหุ้นเพิ่มอีก 1 รายการ นอกเหนือจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ถูกเก็บจากค่านายหน้า (Commission)
สำหรับผู้ใช้งานแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ที่ใช้ศึกษา วิเคราะห์ และเลือกหุ้นไทยมาจัดพอร์ตลงทุนด้วยตัวเอง ถูกใช้งานในสัดส่วนสูงกว่า 80% ย่อมได้รับผลกระทบจาก ‘ภาษีขายหุ้น’ รายการนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีขายหุ้น ทุกๆ เรื่องที่คุณต้องรู้ เพื่อให้คุณเตรียมตัวรับมือในโลกการลงทุนหุ้นไทยเอาไว้ล่วงหน้า
ไล่เรียงไทม์ไลน์ ‘ภาษีขายหุ้น’
Financial Transaction Tax หรือ FTT คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากการทำธุรกรรมการเงิน มีใช้ในหลายๆ ประเทศทั่วโลก เรียกเก็บในหลายๆ กรณีในสินทรัพย์การเงินต่างๆ เช่น ตราสารหนี้ หุ้น ทองคำ ตราสารอนุพันธ์ เป็นต้น
FTT ในที่นี้ก็คือ ‘ภาษีขายหุ้น’ นั่นเอง
ที่เป็นประเด็น คือ ปลายปี 2564 กระทรวงการคลังออกมาพูดเองว่า กำลังพิจารณาเก็บภาษีรายการนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปโครงสร้างภาษีของรัฐบาล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ และให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี และลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้
เหตุผลหลัก คือ ภาษีขายหุ้นได้รับการยกเว้นมาตั้งแต่ปี 2534 โดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกาไว้ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นปี 2564 โตเพิ่มขึ้นถึง 22 เท่าจาก 30 ปีก่อน จึงควรยกเลิกการยกเว้นภาษีรายการนี้เสียที
และในรอบ 1 ปีมานี้ กระทรวงการคลังไม่ได้เหยียบเบรกในการพิจารณาเก็บภาษีขายหุ้นเลย และมีข่าวคราวความเคลื่อนไหวมาให้นักลงทุนได้รับรู้อย่างต่อเนื่อง
ในที่สุดเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) เคาะแล้ว เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะและกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ฉบับที่ xx พ.ศ. xx (การจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์) ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง
แปลภาษากฎหมายให้เข้าใจง่ายขึ้น คือ รัฐบาลจะเก็บภาษีขายหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในอัตรา 0.10% ของมูลค่าขาย ตั้งแต่บาทแรก (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น 0.01%) โดยให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล. หรือ โบรกเกอร์) เป็นผู้เก็บภาษีรายการนี้นำส่งกรมสรรพากรทุกเดือน
แต่ร่างกฎหมายนี้ยังต้องผ่านขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา และประกาศในราชกิจจานุเบกษาก่อน ซึ่งนักลงทุนจะมีเวลาหลังจากประกาศอีก 90 วัน เป็นระยะเวลาผ่อนผัน (Grace Period) ให้ทุกๆ ฝ่ายได้เตรียมตัวเตรียมใจ ก่อนจะเก็บภาษีขายหุ้นจริงๆ
คาดกันว่า ตามกระบวนการต่างๆ นี้ จะเริ่มเก็บภาษีในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 โดยในช่วงปี 2566 หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้จะเก็บในอัตรา 0.055% (รวมภาษีท้องถิ่น 0.005%) และปี 2567 เป็นต้นไปจะจัดเก็บในอัตรา 0.11% (รวมภาษีท้องถิ่น 0.01%)
แต่ไม่ว่าคุณจะหุ้นได้กำไรหรือขาดทุน จะถูกเรียกเก็บ ‘ภาษีขายหุ้น’ อยู่ดี
ภาษีในลงทุน ‘หุ้นไทย’ มีอะไรบ้าง?
เมื่อคุณลงทุนใน ‘หุ้นไทย’ ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะใช้งานแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta มาประกอบการตัดสินใจเลือกหุ้นลงทุนหรือไม่ คุณมีหน้าที่เสียภาษีอากรตามกฎหมาย เมื่อลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งมีภาษีที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มี 2 ประเภท คือ
- กำไรจากการขายหลักทรัพย์ (Capital Gains Tax) ในตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ได้รับการยกเว้นภาษี
- เงินปันผล (Dividend) มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% (Withholding Tax) แต่จะได้รับการยกเว้นภาษีได้รับเงินปันผลจากบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ ในที่นี้หมายถึง ‘ภาษีขายหุ้น’ อัตรา 0.11% ที่กำลังจะถูกเรียกเก็บในปี 2566 เป็นต้นไป เป็นภาษีที่จัดเก็บจากกิจกรรมซื้อขายสินค้าและบริการ ในกิจการบางประเภทที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่จะเป็นคนละส่วนกับ VAT ไม่เก็บซ้ำซ้อนกัน
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม จะถูกเรียกเก็บจากโบรกเกอร์ที่ให้บริการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รวมไปถึงตราสารอนุพันธ์ อัตรา 7% ของค่านายหน้า (Commission Fee) ซึ่งเป็นภาษีที่เกิดจากค่าบริการของโบรกเกอร์เท่านั้น เพราะการซื้อขายหุ้น ไม่ถือเป็นการซื้อขายสินค้า จึงไม่ต้องเสีย VAT
- อากรแสตมป์ จะใช้ในกรณีที่มีการโอนใบหุ้น ใบหุ้นกู้ และพันธบัตรที่มีตราสารการโอน ผู้โอนต้องติดอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาท สำหรับทุกจำนวน 1,000 บาทหรือเศษของ 1,000 บาท คำนวณตามราคาหุ้นที่ชำระแล้วหรือตามราคาในตราสาร เว้นแต่เป็นการโอนหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทย ซึ่งบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) เป็นนายทะเบียน หรือการโอนพันธบัตรรัฐบาล
สำหรับ Capital Gains Tax (ภาษีกำไรส่วนทุนจากการขายสินทรัพย์) กระทรวงการคลังยังไม่ได้พิจารณาถึงภาษีรายการนี้ เพราะในแง่ของการปรับแก้กฎหมายต่างๆ จะมีความยุ่งยากมากกว่า FTT หรือภาษีขายหุ้น ซึ่งขั้นตอนไม่ซับซ้อนมาก และร่างกฎหมายเสนอต่อครม. ได้เร็วกว่า
ภาษีต่างๆ ที่เรารวบรวมมานี้ จะเป็นภาษีที่นักลงทุนรายย่อย (Individuals) ต้องรู้ก่อนลงทุนเท่านั้น
ใครได้ ใครเสีย และผลกระทบ ‘ภาษีขายหุ้น’
ภาษีขายหุ้น เดิมชื่อ ภาษีการค้า เคยเก็บจากการขายหุ้นในตลาดหุ้นไทยมาแล้วในช่วงปี 2521 ในอัตรา 0.1% (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) แต่มายกเว้นให้ในปี 2525 เป็นต้นมา เพื่อสนับสนุนการซื้อขายหุ้นและการเติบโตในตลาดหุ้นไทย ก่อนเปลี่ยนมาเป็นภาษีธุรกิจเฉพาะ ในปี 2534 และออกกฎหมายยกเว้นการจัดเก็บมาจนถึงปัจจุบัน
ถ้านับย้อนจนถึงชื่อเดิม คือ ภาษีการค้า ภาษีขายหุ้นยกเว้นจัดเก็บมานานถึง 40 ปีแล้ว
ใครได้ประโยชน์จากภาษีขายหุ้น ก็คือ รัฐบาล จากคาดการณ์ว่า จะจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นอีก 16,000 ล้านบาทต่อปี (อัตรา 0.11%) นำรายได้ส่วนนี้มาวางแผนจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี จัดสรรไปตามหน่วยงานต่างๆ ถ้ารัฐบาลบริหารจัดการงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ผลประโยชน์ก็อยู่กับประชาชนในประเทศนั่นเอง
ใครเสียประโยชน์จากภาษีขายหุ้น ก็คือ นักลงทุนทุกกลุ่ม รายย่อย กองทุน สถาบัน และต่างชาติ ต้องเสียภาษีส่วนนี้ เมื่อทำรายการขาย ซึ่งก็เสียภาษี 2 รายการอยู่แล้ว คือ ภาษีเงินได้จากเงินปันผล และภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่านายหน้า
ส่วนผลกระทบด้านบวก คือ แรงเทขายหุ้นไทยมีแนวโน้มบรรเทาลงมาได้ในอนาคต เมื่อต้องเสียภาษีขายหุ้น นักลงทุนจะคิดมากขึ้นก่อนจะส่งคำสั่งขาย เพราะต้นทุนทำรายการสูงขึ้น ส่งผลให้ความผันผวนลดลงได้บ้าง และมีการถือครองหุ้นบริษัทที่นานขึ้น
ขณะที่ผลกระทบด้านลบ ใช่ว่าจะไม่มี สภาพคล่องของตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มลดลง เมื่อต้นทุนการลงทุนสูงขึ้น แต่ผลตอบแทนเท่าเดิม โอกาสเติบโตน้อย ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยก็ลดลงได้ ยิ่งถ้ามีตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ทำผลตอบแทนได้ดีกว่า ต้นทุนการลงทุนต่ำ เม็ดเงินจากนักลงทุนก็จะไหลไปลงทุนตลาดหุ้นนั้นได้ มูลค่าซื้อขายหมุนเวียนในตลาดหุ้นไทยก็อาจจะลดลงในอนาคต
แต่จะมีกลุ่มที่ได้รับการยกเว้น ‘ภาษีขายหุ้น’ ได้แก่ ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนการออมแห่งชาติ และกองทุนรวมที่ขายหน่วยลงทุนให้กองทุนบำนาญต่างๆ
วิธีคำนวณค่าธรรมเนียมและภาษีของ ‘หุ้นไทย’
หากคุณได้อ่านใบยืนยันการซื้อขายหลักทรัพย์ที่โบรกเกอร์ไทยส่งให้คุณในทุกสิ้นวันที่คุณทำรายการซื้อขาย เอกสารนี้เป็นเหมือนใบกำกับภาษี ซึ่งโบรกเกอร์จะแจกแจงรายการต่างๆ ดังนี้
- ค่านายหน้า (Commission Fee) มีหลายๆ อัตรา ส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณ 0.107-0.257% ก่อน VAT โบรกเกอร์บางรายอาจจะมีค่านายหน้าถูกมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับประเภทบัญชีซื้อขาย ช่องทางการซื้อขาย และมูลค่าซื้อขายต่อวัน โบรกเกอร์บางรายอาจจะคิดค่านายหน้า ขั้นต่ำต่อวัน 30-50 บาทด้วย
- ค่าธรรมเนียมตลาดหลักทรัพย์ (SET Trading Fee) อัตรา 0.005% ของมูลค่าการซื้อขายต่อวัน
- ค่าธรรมเนียมชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ (TSD Clearing Fee) อัตรา 0.001% ของมูลค่าการซื้อขายต่อวัน
- ค่าธรรมเนียมการกำกับดูแล (Regulatory Fee) อัตรา 0.001% ของมูลค่าการซื้อขายต่อวัน
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม อัตรา 7% ของค่านายหน้า
- ภาษีขายหุ้น อัตรา 0.11% ของมูลค่าขาย ที่จะเพิ่มเข้ามาอีก 1 รายการ เมื่อคุณทำรายการขาย
กรณีที่คุณเป็นนักลงทุนรายใหญ่ นักลงทุนสถาบัน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บริหารกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล ค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้นไทย จะขึ้นอยู่กับการตกลงกับโบรกเกอร์ที่ใช้บริการ
หากคุณเป็นนักลงทุนรายย่อย จะเห็นต้นทุนต่างๆ ที่ถูกคำนวณจากราคาซื้อขายหุ้นของคุณในวันนั้น บวกเข้ามาด้วย แม้จะเป็นจำนวนน้อย แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายรวมที่เกิดขึ้น และเมื่อคุณขายหุ้นนั้น ค่าใช้จ่ายรวมในปัจจุบัน จะต้องบวกเพิ่มอีก 0.11% (ภาษีขายหุ้น) ในอนาคต
สูตรการคำนวณค่าค่าธรรมเนียมและภาษีของหุ้นไทยภายใต้ร่างกฎหมายใหม่ แบ่งได้ดังนี้
- กรณีซื้อ (ค่านายหน้า × VAT) + Trading Fee + Clearing Fee + Regulatory Fee
- กรณีขาย (ค่านายหน้า × VAT) + Trading Fee + Clearing Fee + Regulatory Fee + ภาษีขายหุ้น
ยกตัวอย่าง คุณทำธุรกรรมของหุ้น 1 บริษัทเป็นมูลค่าซื้อขายวันนั้น 100 บาท ค่านายหน้า (Commission Fee) บัญชี Cash Balance ทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 0.157% จะคำนวณต้นทุนการลงทุน ‘หุ้นไทย’ ได้ดังนี้
- กรณีซื้อ (0.157 × 1.07) + 0.005 + 0.001 + 0.001 = 0.17499 บาท
- กรณีขาย (0.157 × 1.07) + 0.005 + 0.001 + 0.001 + 0.11 = 0.28499 บาท
คุณจะเห็นว่า ภาษีขายหุ้นจะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 63% สำหรับค่านายหน้า 0.157% เพราะเป็นสัดส่วนต้นทุนที่สูงรองจากค่านายหน้านั่นเอง
หากค่านายหน้าของโบรกเกอร์ที่คุณใช้บริการอยู่น้อยกว่านี้ เช่น 0.107% ต้นทุนค่าธรรมเนียมและภาษีต่างๆ กรณีขายหุ้นจะเป็น 91% เพราะภาษีขายหุ้นเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ใกล้เคียงกัน
อธิบายง่าย คือ ถ้าค่านายหน้าซื้อขายหุ้นน้อยกว่า 0.11% ต้นทุนธุรกรรมกรณีขายหุ้นไทยในอนาคตจะเพิ่มขึ้นสูงมากกว่า 1 เท่าตัว แต่ถ้าค่านายหน้าสูงอยู่แล้ว เช่น 0.257% กรณีส่งคำสั่งขายหุ้นผ่านทางเจ้าหน้าที่การตลาด ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นประมาณ 40%
ไม่ว่าจะมีค่านายหน้าจะมากหรือน้อยแค่ไหน ‘ภาษีขายหุ้น’ คือ ต้นทุนที่จะเพิ่มเข้ามาในอนาคตอยู่ดี
ลงทุนหุ้นต่างประเทศ มีต้นทุนอะไรบ้าง?
หากคุณเป็นนักลงทุนรายย่อยต้องการมีพอร์ตลงทุนหุ้นต่างประเทศและเลือกลงทุนด้วยตัวเอง การเข้าไปลงทุนแต่ละประเทศ ย่อมมีต้นทุนที่แตกต่างกัน ตามกฎหมายของตลาดหุ้นและหน่วยงานกำกับดูแล
แพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ให้บริการศึกษาและเลือกหุ้นได้ 29 ประเทศ เราขอยกตัวอย่าง 5 ประเทศ เพื่อสรุปค่าธรรมเนียมและภาษีต่างๆ มีทั้งคำนวณเมื่อทำธุรกรรมซื้อขายและขายอย่างเดียว ดังนี้
สหรัฐอเมริกา
- Commission Fee ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่คุณใช้บริการ อาจจะคิดเป็นเปอร์เซนต์ของมูลค่าซื้อขายหรือต่อหุ้น รวมทั้งมีค่านายหน้าขั้นต่ำ
- SEC Fee หรือค่าธรรมเนียมตลาดหลักทรัพย์ อัตรา 0.00229% ของมูลค่าขาย
- ADR Fee กรณีลงทุนหุ้นต่างประเทศที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ส่วนอัตราขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ (หุ้น) กำหนด
- Withholding Tax อัตรา 30% ของเงินปันผล
จีน (A-share)
- Commission Fee อัตรา 0.2-0.3% ของมูลค่าซื้อขาย ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่คุณใช้บริการ รวมทั้งมีค่านายหน้าขั้นต่ำ
- Securities Management Fee อัตรา 0.002% ของมูลค่าซื้อขาย
- Handling Fee อัตรา 0.00487% ของมูลค่าซื้อขาย
- Transfer Fee อัตรา 0.003% ของมูลค่าซื้อขาย
- Stamp Duty อัตรา 0.1% ของมูลค่าขาย
- Withholding Tax อัตรา 10% ของเงินปันผล
ญี่ปุ่น
- Commission Fee อัตรา 0.2-0.3% ของมูลค่าซื้อขาย ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่คุณใช้บริการ รวมทั้งมีค่านายหน้าขั้นต่ำ
- Withholding Tax อัตรา 15.315% ของเงินปันผล
ฮ่องกง
- Commission Fee อัตรา 0.2% ของมูลค่าซื้อขาย ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่คุณใช้บริการ รวมทั้งมีค่านายหน้าขั้นต่ำ
- Trading Fee อัตรา 0.005% ของมูลค่าซื้อขาย
- Transaction Levy อัตรา 0.0027% ของมูลค่าซื้อขาย
- Stamp Duty อัตรา 0.13% ของมูลค่าซื้อขาย
- Clearing Fee อัตรา 0.002% ของมูลค่าซื้อขาย
- Handling Fee อัตรา 0.00015% ของมูลค่าซื้อขาย
- Withholding Tax อัตรา 10% ของเงินปันผล กรณีลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง (H-share) แต่บริษัทฮ่องกงส่วนใหญ่จะไม่มีการหักภาษีเงินปันผล
เวียดนาม
- Commission Fee อัตรา 0.3% ของมูลค่าซื้อขาย ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่คุณใช้บริการ รวมทั้งมีค่านายหน้าขั้นต่ำ
- Tax Regulation Fee อัตรา 0.1% ของมูลค่าขาย
- Sales Tax อัตรา 0.1% ของมูลค่าขาย
หากมองในภาพใหญ่ ด้านต้นทุนค่าธรรมเนียมและภาษีการลงทุนในหุ้นของแต่ละประเทศ คุณจะเห็นว่า มีรายละเอียดปลีกย่อยไม่แตกต่างกับไทยสักเท่าไร บางประเทศเก็บค่าธรรมเนียมธุรกรรมซื้อเยอะกว่าธุรกรรมขาย บางประเทศเก็บค่าธรรมเนียมและภาษีเมื่อขายหุ้นเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ‘ภาษีขายหุ้น’ ที่ไทยกำลังจะเก็บเพิ่ม ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ หลายๆ ประเทศก็ทำกัน
สำหรับ Capital Gains Tax ของแต่ละประเทศ ปัจจุบันยังไม่ถูกคำนวณภาษี เหมือนกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่คุณจะมีค่าธรรมเนียมโอนเงินไปและกลับจากต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมแปลงสกุลเงิน และภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากค่าธรรมเนียม ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่คุณใช้บริการเช่นเดียวกัน
เมื่อคุณก้าวขาออกไปลงทุน ‘หุ้นต่างประเทศ’ แล้ว ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ควรศึกษาทำความเข้าใจ ก่อนตัดสินใจลงทุน
นี่คือ ภาพรวมของ ‘ภาษีขายหุ้น’ ที่นักลงทุนไทยกำลังจะถูกเรียกเก็บในอนาคต การศึกษาที่มาที่ไปและหลักการคิดคำนวณต้นทุนค่าธรรมเนียมและภาษีด้านการลงทุนต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญ พอๆ กับการวิเคราะห์และค้นหาหุ้นที่น่าลงทุนมาจัดพอร์ต
ทุกครั้งที่มีกฎเกณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา ย่อมต้องมีฝ่ายที่ได้ประโยชน์และฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ เหรียญมี 2 ด้านฉันใดฉันนั้น ตระหนัก…แต่ไม่ตระหนก
เพราะคุณยังมีเวลาอีกหลายเดือน ในการเตรียมตัวรับมือกับต้นทุนขายหุ้นที่จะเพิ่มเข้ามาอีก 1 รายการ วางแผนและปรับแนวทางการลงทุนไว้แต่เนิ่นๆ กันดีกว่า
หมายเหตุ
บทความนี้ เขียนขึ้นเพื่อเป็นความรู้และข้อมูลให้กับนักลงทุนที่ลงทุนหุ้นไทยด้วยตัวเอง ค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้นและภาษีที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามการเรียกเก็บของโบรกเกอร์ในไทย
สำหรับนักลงทุนที่เป็นลูกค้ากองทุนส่วนบุคคลของ Jitta Wealth ทางบลจ. กำลังศึกษาถึงเงื่อนไขต่างๆ ของภาษีขายหุ้น เพื่อประเมินสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และวางแผนโดยยึดผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ ซึ่งจะแจ้งรายละเอียดให้ทราบเร็วๆ นี้ เมื่อร่างกฎหมายมีผลบังคับใช้
แพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta เป็นบริการสำหรับนักลงทุนทั่วโลกที่ต้องการศึกษาหุ้นบริษัทและสร้างพอร์ตลงทุนด้วยตัวเอง หากคุณต้องการลงทุนในตลาดหุ้นที่สนใจ สามารถติดต่อโบรกเกอร์ที่ให้บริการลงทุนต่างประเทศได้โดยตรง
เกี่ยวกับ Jitta
ก่อตั้งเป็นสตาร์ตอัป WealthTech ในเดือนมีนาคม 2555 ด้วยพันธกิจคือ Help investors create better returns through simple investment methods (ช่วยนักลงทุนสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า ด้วยวิธีการที่ง่ายกว่าเดิม) เริ่มจากการพัฒนาแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้นพื้นฐานดี จากงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี เพื่อทำให้นักลงทุนทั่วโลก เฟ้นหา ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ ที่นำไปใช้ได้จริง
ปัจจุบันแพลตฟอร์ม Jitta ครอบคลุมการวิเคราะห์หุ้น 29 ประเทศ สแกนหุ้นมากกว่า 48,000 บริษัท และใช้งานได้ทุกฟีเจอร์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
อ่านบทความอื่นๆ จาก Jitta Library
TSMC มีดีอะไร ทำไม Buffett ทุ่มเงินซื้อ
3 ตลาดหุ้นใหม่…พร้อมให้บริการแล้วบนแพลตฟอร์ม Jitta
ส่องหุ้น Soft Power ในตลาดหุ้นญี่ปุ่น หุ้นดี ใกล้ตัวคุณ
10 วิธีฝึกเด็ก ‘ออมเงิน’ เริ่มก่อนสบายกว่า
อ้างอิง
- ครม.ไฟเขียวเก็บภาษีหุ้น ปีแรกเก็บ 0.055% หลังเว้นใช้กฎหมายมานานกว่า 30 ปี https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1040438
- ภาษีขายหุ้น (Financial Transaction Tax) คืออะไร? https://www.itax.in.th/media/ภาษีขายหุ้น-financial-transaction-tax-คืออะไร/
- ภาษีหุ้น หรือ FTT คืออะไร – ไทยเก็บภาษีขายหุ้นหลังยกเว้นมา 30 ปี https://www.moneybuffalo.in.th/stock/financial-transaction-tax-set
- ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ‘ภาษี’ https://www.set.or.th/th/market/information/tax
- 5 สิ่งที่น่ารู้เกี่ยวกับ ‘ค่าธรรมเนียมหุ้น’ https://www.moneybuffalo.in.th/stock/stock-commission-fee
- ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ http://www.scbs.com/medias/articles/offshore/exchange-fees/th/Offshore_Fee_Summary.pdf
- ทุกเรื่องที่ต้องรู้…ก่อนจะ ‘ลงทุนต่างประเทศ’ กับ Jitta Wealth https://blog.jittawealth.com/post/jitta-wealth-foreign-investment-knowledge