by Pullawat Pitigraisorn
วันที่ 21 ม.ค. 2565 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 12 ม.ค. 2566
ไฮไลต์ 7 ตลาดหุ้นที่น่าสนใจใน Jitta Ranking ปี 2564

Jitta Ranking ปี 2564 เอาชนะดัชนีตลาดหุ้น 22 จาก 23 ประเทศ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 95% 

ถ้าตัดเกรด Jitta Ranking Top 30 ได้เกรด A อย่างสวยงาม 

แพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ถูกพัฒนาและออกแบบมาให้เฟ้นหา ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ ถ้าเปรียบเป็นการคัดเลือกนักเรียน ก็เหมือนกับการคัดเลือกเพื่อเข้าห้องคิง ไม่ว่านักเรียนจากห้องคิงจะสอบอีกกี่ครั้ง ผลการเรียนจะอยู่ในเกณฑ์ดีมากๆ อยู่เสมอ

บทความที่แล้ว ทีมงาน Jitta ได้กางสถิติผลตอบแทน Jitta Ranking Top 30 ปี 2564 และผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นย้อนหลัง 5 ปี 10 ปี และ 13 ปี ซึ่ง Jitta Ranking Top 30 ทำผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นชนะดัชนีตลาดหุ้นทุกประเทศ หากลงทุน ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ ในระยะ 10 ปีและ 13 ปี

นี่คือ บทพิสูจน์หลักการลงทุนระยะยาวในแบบฉบับ Value Investing (VI) ของแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ว่าสามารถทำผลตอบแทนชนะดัชนีตลาดหุ้นได้จริงๆ 

สำหรับบทความนี้ ทีมงาน Jitta รวบรวมผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นย้อนหลัง 13 ปี จาก 7 ตลาดหุ้น ที่ AI และอัลกอริทึมเฟ้นหา ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ มาจัดอันดับเป็น Jitta Ranking Top 30 โดยสามารถทำผลตอบแทนเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ 

Jitta Ranking อินเดีย

ปี 2564 Jitta Ranking อินเดียเอาชนะดัชนี NIFTY50 ไปได้ 204.82%

หากมองย้อนไปในช่วงปี 2556-2561 ก่อนที่ Covid-19 จะระบาด อินเดียเป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ขยายตัวเร็วที่สุดในโลก แซงหน้าจีนที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงไปเป็นที่เรียบร้อย 

เศรษฐกิจของอินเดียในปัจจุบันก็คล้ายกับจีนในช่วงที่เปิดประเทศใหม่ๆ นั่นก็คือ เพิ่มการลงทุนในประเทศ เปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ และพลังในการบริโภคของคนอินเดีย ซึ่งมีจำนวน 1,400 ล้านคน

อินเดียยังเป็นเจ้าตลาดระดับโลกในหลายๆ อุตสาหกรรมที่จำเป็น เช่น ยา วัคซีน เคมีภัณฑ์ ปิโตรเลียม โลหะ ยานยนต์ IT  ซอฟต์แวร์ อาหาร และสิ่งทอด้วย ทำให้มีข้อได้เปรียบเรื่องห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเหล่านี้ บริษัทต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนก็ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

Jitta x NIFTY50

ตลาดหุ้นอินเดีย Jitta Ranking Top 30 ก็ยังทำผลงานได้ยอดเยี่ยม โดยสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นได้ถึง +30.68% ต่อปีในช่วงปี 2552-2564 และชนะดัชนี NIFTY50 ไปได้ 17.10% ต่อปี เรียกได้ว่า ชนะดัชนีตลาดหุ้นได้เป็นเท่าตัว

Jitta Ranking ไทย

ปี 2564 Jitta Ranking ไทยเอาชนะดัชนี SET50 ไปได้ 42.16%

ไทยเผชิญปัญหาเศรษฐกิจมานาน จากศักยภาพการเติบโตที่ลดน้อยลง แต่ทุกๆ ปีจะมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่ทำผลตอบแทนได้สูงกว่าดัชนีตลาดหุ้นอยู่เสมอ ถ้าเจาะลึกลงไปใน Jitta Ranking Top 30 คุณจะพบว่าบริษัทไทยเหล่านี้อยู่ในหลายๆ อุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นพลังงานทดแทน IT ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อสังหาริมทรัพย์ และการเงิน 

บางบริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นเกือบทุกปีไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร เนื่องจากการขยายธุรกิจในต่างประเทศหรือเป็นคู่ค้ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก และอีกหลายบริษัทก็เติบโตจากหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดเล็กและกลาง มาเป็นหุ้นบิ๊กแคปได้ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี

จึงเป็นเหตุผลที่ Jitta Ranking Top 30 จะสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา และไม่ใช่เรื่องเป็นไปได้ยาก หากคุณเลือกลงทุนในกิจการที่ดี เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่า AI และอัลกอริทึมของ Jitta Ranking Top 30 มีความแม่นยำ แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก

Jitta x SET50

คุณจะเห็นว่า Jitta Ranking Top 30 ทำผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นได้ถึง +23.05% ต่อปีในช่วงปี 2552-2564 และชนะดัชนี SET50 ได้แบบขาดลอยถึง 13.88% แม้ว่าจะมีบางปีที่ผลตอบแทนแพ้ดัชนีตลาดหุ้นไปบ้างตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามา หากเป็นการลงทุนระยะยาวแล้ว Jitta Ranking Top 30 ก็ยังสร้างผลตอบแทนได้เป็นที่น่าพอใจในสภาวะตลาดเช่นนี้

Jitta Ranking เวียดนาม

ปี 2564 Jitta Ranking เวียดนามเอาชนะดัชนี VNI ไปได้ 7.35%

ในช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน เวียดนาม คือ ผู้ชนะตัวจริง ได้ทั้งขึ้นและล่อง ถึงแม้ว่า ทั้ง 2 มหาอำนาจจะมีท่าทีอ่อนลง แต่กำแพงภาษีนำเข้าที่ทั้ง 2 ฝ่ายตั้งใส่กันไว้ในยุค Donald Trump เป็นประธานาธิบดียังมีผลอยู่ ทำให้บริษัทที่ไปลงทุนในจีนก่อนหน้านี้ ต้องย้ายฐานการผลิตไปในประเทศใกล้เคียงที่จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นน้อยที่สุด ปลายทาง คือ เวียดนามนั่นเอง

อีกเหตุผลคือ เมื่อเศรษฐกิจจีนเติบโตเร็วติดต่อกันหลายปี ค่าแรงย่อมสูงขึ้นด้วย เมื่อรวมกับต้นทุนการทำธุรกิจที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้า หากต้องส่งสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา การย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังประเทศที่ค่าแรงต่ำกว่าจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม และเวียดนามจึงได้อานิสงส์ไปเต็มๆ

ส่วนสภาพสังคมของเวียดนามเอื้อต่อการตั้งฐานการผลิตด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอายุเฉลี่ยของประชากรที่อยู่ในวัยทำงานที่ 32.5 ปี (เทียบกับไทยที่ 40.1 ปี) และรายได้เฉลี่ยต่อหัวที่ขยายตัวสูงติดต่อกันหลายปี ตั้งแต่ก่อนสงครามการค้า ทำให้กำลังซื้อของคนเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 

เรียกได้ว่า ลงทุนครั้งเดียวได้ 2 ต่อ ทั้งผลิตสินค้าเพื่อขายในเวียดนามเองและยังส่งออกไปขายในประเทศอื่นๆ ได้ด้วย โดยไม่เผชิญกำแพงภาษี

ความมีเสถียรภาพทางการเมืองก็เป็นอีกจุดเด่นของเวียดนาม เพราะทำให้นโยบายการพัฒนาประเทศและความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนมีความยั่งยืน

ในช่วงก่อนสงครามการค้า เศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตจากการปฎิรูปโดยเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมมาเป็นระบบทุนนิยม รวมถึงการแปรรูปกิจการของรัฐให้เป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งหลายแห่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นเวียดนามด้วย

Jitta x VNI

แน่นอนว่า เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มมีรายได้และกำไรเติบโต และขยายธุรกิจได้มากขึ้น ดัชนี VNI จึงย่อมปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา แต่ Jitta Ranking Top 30 ทำผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นได้ที่ +19.20% ต่อปี สูงกว่าดัชนีตลาดหุ้น VNI ที่ 6.47%

Jitta Ranking สหรัฐอเมริกา

ปี 2564 Jitta Ranking สหรัฐอเมริกาเอาชนะดัชนี S&P500 ไปได้ 42.16%

เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาพึ่งพาการบริโภคในประเทศเป็นหลัก ซึ่งเกิดจากรายได้เฉลี่ยต่อหัวของชาวอเมริกันสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก จากการเป็นผู้นำเทคโนโลยีมาโดยตลอด ทำให้ประสิทธิผลในการทำงานสูง บริษัทสัญชาติอเมริกันจึงมักจะจ่ายเงินเดือนสูงกว่าบริษัทจากประเทศอื่นๆ และดึงดูดคนเก่งจากทั่วทุกมุมโลกไปทำงานได้ตลอด

Jitta x S&P500

จากข้อมูล Jitta Ranking Top 30 นั้นทำผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นในช่วง 13 ปีล่าสุดได้ถึง +16.76% ต่อปี สูงกว่าดัชนี S&P500 อยู่ 3.11% โดยสาเหตุที่ผลตอบแทนเอาชนะดัชนี S&P500 ได้ไม่มากนัก เกิดจากแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ให้น้ำหนักไปที่พื้นฐานและมูลค่าที่เหมาะสมของกิจการ ไม่ใช่หุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ 

ขณะที่หุ้นที่ถูกคำนวณในดัชนี S&P500 เป็นหุ้นเมกะแคปและเป็นหุ้นเทคโนโลยีที่มีราคาพุ่งแรงมากในหลายๆ ปีที่ผ่านมา หุ้นบางบริษัทมีราคานำหน้าพื้นฐานของธุรกิจไปไกลแล้ว ทำให้ผลตอบแทน Jitta Ranking Top 30 บางปี มีทั้งชนะและแพ้ดัชนี S&P500 แต่ในภาพระยะยาว 10 ปีขึ้นไปยังชนะดัชนีตลาดหุ้นได้

Jitta Ranking จีน

ปี 2564 Jitta Ranking จีนเอาชนะดัชนี CSI300 ไปได้ 18.13%

ตั้งแต่จีนเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2544 และเริ่มเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ เศรษฐกิจจีนขยายตัวเฉลี่ย 8.7% ต่อปี ยาวนาน 2 ทศวรรษ จนทำให้ขนาดของเศรษฐกิจจีนใหญ่ขึ้นกว่า 5 เท่าตัวในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา

ช่วงเวลานี้เองเป็นจุดกำเนิดของบริษัทเทคโนโลยีจีนหลายๆ ราย ไม่ว่าจะเป็น Huawei JD.com Tencent Alibaba Didi และ Meituan 

แม้ในช่วงก่อน Covid-19 เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอตัวลงไปบ้าง ประเด็นสงครามการค้า ทำให้ส่งออกได้ลดลง โดยเฉพาะประเทศปลายทางเป็นสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นกำแพงภาษีนำเข้า แต่ก็ยังถือว่า ตัวเลข GDP ยังมีอัตราเติบโตสูง เมื่อเทียบกับขนาดของเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก 

ตอนนี้จีนอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ โดยเปลี่ยนจากการพึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิมไปเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีให้ทัดเทียมกับสหรัฐอเมริกา และชาติผู้นำอื่นๆ และใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาเอง เข้าไปมีบทบาทในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า ชิปประมวลผล และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งล้วนเป็น Exponential Technology (เทคโนโลยีที่นำมาสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดด) ที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลกในอนาคตอันใกล้

แม้ในปี 2564 รัฐบาลจีนจะออกนโยบายที่เข้มงวดกับการทำธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งกระทบกับหลายๆ ธุรกิจ หากมองอีกด้าน คือ รัฐบาลจีนกำลังเตรียมการให้รอบคอบ ออกกฎเกณฑ์ เพื่อให้ทุกๆ ธุรกิจแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่งเป็นการเตรียมตัวสำหรับการเติบโตในอนาคต 

ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจจีนยังขยับตัวได้ไม่เต็มที่จากการแพร่ระบาด Covid-19 ทำให้ตลาดหุ้นจีนเต็มไปด้วยหุ้นของหลายๆ บริษัทที่มีราคาลดลงมาจนอยู่ในระดับที่เหมาะสม และกิจการมีพื้นฐานดี น่าจะเป็นโอกาสเข้าลงทุนระยะยาวที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ 

Jitta x CSI300

จะเห็นได้ว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจจีนเติบโตสูง AI และอัลกอริทึมคัดกรองหุ้นใน Jitta Ranking Top 30 ก็ยังทำผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยตลอด 13 ปีที่ผ่านมาได้ถึง +19.60% ต่อปี และเอาชนะดัชนี CSI300 ไปได้ถึง 11.61%

เรียกได้ว่า Jitta Ranking Top 30 เอาชนะหุ้นได้ในสภาวะเศรษฐกิจเกือบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเติบโตสูงหรือเติบโตช้าลง เพราะในทุกตลาดหุ้นจะมี ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ อยู่เสมอ

Jitta Ranking ญี่ปุ่น

ปี 2564 Jitta Ranking ญี่ปุ่นเอาชนะดัชนี NIKKEI ไปได้ 6.17%

หากเอ่ยชื่อญี่ปุ่นในโลกการลงทุน คุณอาจจะไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร เพราะถ้าจะลงทุนในตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว ไปสหรัฐอเมริกายังดูมีศักยภาพมากกว่า แต่แพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ยังทำผลตอบแทนได้ดีในตลาดหุ้นญี่ปุ่น

เป็นเพราะว่า บริษัทในตลาดหุ้นญี่ปุ่นหลายๆ รายมีมูลค่าหุ้นไม่แพงเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน โดยเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นพึ่งพาการบริโภคในประเทศและการส่งออกเยอะมาก ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดี สังเกตได้จากบริษัทญี่ปุ่นมักจะเป็นหัวหอกในการตั้งฐานการผลิตในประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน

ธนาคารเพื่อการลงทุนหลายๆ แห่ง เช่น Goldman Sachs Morgan Stanley และ UBS มองเห็นตรงกันว่า หุ้นญี่ปุ่นมีราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับพื้นฐานของบริษัทเช่นกัน และยังมองว่า จะเป็นตลาดหุ้นพัฒนาแล้วที่ฟื้นตัวได้มากที่สุดในปี 2565 โดยมีปัจจัยเสริมจากการส่งออกที่จะเริ่มฟื้นตัวหลัง Covid-19 เงินเฟ้อที่ต่ำ และนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางญี่ปุ่นยังมีอย่างต่อเนื่อง

Jitta x NIKKEI225

ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น Jitta Ranking Top 30 ญี่ปุ่นตลอด 13 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ +16.45% ต่อปี เอาชนะดัชนี NIKKEI225 ไปได้ถึง 9.77% เรียกว่า แพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ยังพิสูจน์หลักการลงทุนสไตล์ VI ระยะยาวได้อยู่ แม้จะเป็นตลาดหุ้นพัฒนาแล้วที่มีการเติบโตไม่ได้สูงมากเท่าตลาดหุ้นเกิดใหม่

Jitta Ranking ฮ่องกง

ปี 2564 Jitta Ranking ฮ่องเอาชนะดัชนี HSI ไปได้ 21.99%

Jitta Ranking Top 30 ยังทำผลตอบแทนย้อนหลังได้ดีมากๆ ในตลาดหุ้นฮ่องกงในปี 2564 ทั้งๆ ที่ดัชนีตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบ เพราะตลาดหุ้นฮ่องกงจะเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นจีน ในปีที่ผ่านมาเผชิญความผันผวนสูง จากการเข้าตรวจสอบการดำเนินธุรกิจของทางการจีนและสถานการณ์อื่นๆ ทั่วโลก ขณะเดียวกันเศรษฐกิจฮ่องกงอาศัยการค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก

จุดเด่นของตลาดหุ้นฮ่องกง คือ การเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ในปี 2557 และตลาดหุ้นเซินเจิ้นในปี 2559 ทำให้คุณสามารถซื้อขายหุ้นกลุ่ม A-share ที่เป็นบริษัทจีนแผ่นดินใหญ่ได้โดยตรงผ่านตลาดหุ้นฮ่องกงได้ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นฮ่องกงมีความน่าสนใจมากขึ้น ดึงเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกสูงขึ้นตามไปด้วย

ในยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศของจีนก็ต้องการใช้ฮ่องกงเป็นเหมือนประตูเข้าออกระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับระบบการค้าของโลก ทำให้บริษัทใหญ่ๆ ต้องมาตั้งสำนักงานและจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง เพื่อให้เข้าถึงกฎระเบียบการทำธุรกิจที่ให้อิสระมากกว่า มีความน่าเชื่อถือมากกว่า มีเครื่องมือทางการเงินที่ทันสมัยกว่านั่นเอง

ส่วนบริษัทต่างชาติที่ต้องการทำธุรกิจกับบริษัทจีน ก็ต้องมาตั้งสำนักงานที่เขตเศรษฐกิจพิเศษฮ่องกง เพื่อความสะดวกในการติดต่อธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วยเช่นกัน ทำให้เห็นว่าเศรษฐกิจของฮ่องกงในปัจจุบันนั้นเกี่ยวโยงกับนโยบายจากรัฐบาลจีนมากเลยทีเดียว

ข้อดีอีกอย่างของตลาดหุ้นฮ่องกง คือ นโยบายของรัฐบาลจีนที่ไม่ต้องการให้บริษัทจีนไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นฮ่องกงจึงรับส้มหล่นไปเต็ม ๆ เพราะเป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชียอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นฮ่องกงสูงกว่าฝั่งจีนแผ่นดินใหญ่มาก การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงจึงสามารถระดมทุนได้สูงกว่านั่นเอง

Jitta x HSI

ผลตอบแทบเฉลี่ยทบต้น Jitta Ranking Top 30 ทำได้ในตลาดหุ้นฮ่องกงนั้นสูงถึง +25.27% ต่อปีในช่วงปี 2552-2564 และเอาชนะดัชนี HSI แบบไม่เห็นฝุ่นถึง 21.46% เรียกว่า ชนะดัชนีตลาดหุ้นได้หลายเท่าตัวเลยทีเดียว

นี่คือ ไฮไลต์ 7 ตลาดหุ้นจากผลตอบแทน Jitta Ranking ปี 2564 รวมทั้งผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 13 ปีย้อนหลังที่ทีมงาน Jitta เก็บสถิติไว้ เพื่อเป็นบทพิสูจน์หลักการลงทุนระยะยาว สไตล์ VI โดยมีหัวใจสำคัญมาจากแนวคิดของ Warren Buffett คือ ‘To buy a wonderful company at a fair price’ (ลงทุนในธุรกิจที่ยอดเยี่ยมในราคาที่เหมาะสม) เป็นที่มาของการพัฒนาและออกแบบ AI และอัลกอริทึมของ Jitta

สำหรับ Jitta ในฐานะสตาร์ตอัป WealthTech ได้สร้างแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้นที่ถูกใช้งานไปทั่วโลกมาแล้ว 10 ปี และกำลังจะเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 อย่างแข็งแกร่ง ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาอัลกอริทึมที่จะวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกการเงินการลงทุน

เรายังคงมุ่งมั่นในพันธกิจหลัก คือ ‘Help investors create better returns through simple investment methods’ (ช่วยให้นักลงทุนสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า ผ่านวิธีการลงทุนที่ง่ายที่สุด)


บทความ Jitta Ranking ปี 2564 ที่เกี่ยวข้อง

Jitta Ranking ปี 2564 ผลตอบแทนชนะดัชนีตลาดหุ้น

Jitta เลือกหุ้นดี กับความเสี่ยงที่ลดลง ด้วยอัลกอริทึมใหม่ เวอร์ชัน 4.0


อ้างอิง

  1. Vietnam population median age https://population.un.org/wpp/Graphs/1_Demographic%20Profiles/Viet%20Nam.pdf
  2. Thailand population median age https://population.un.org/wpp/Graphs/1_Demographic%20Profiles/Thailand.pdf
  3. Vietnam Is Becoming The Big Winner In The China Trade Wars https://www.forbes.com/sites/warrenshoulberg/2019/10/16/us-finally-succeeds-in-vietnam-as-more-companies-move-sourcing-there/?sh=542d83cc4a4e
  4. Vibrant Vietnam: Forging a Foundation of a High-Income Economy https://documents1.worldbank.org/curated/en/745271590429811414/pdf/Main-Report.pdf
  5. Goldman Sachs: Is China Investable? https://www.goldmansachs.com/insights/pages/gs-research/is-china-investable/report.pdf
  6. The transition of China to sustainable growth – implications for the global economy and the euro area https://www.ecb.europa.eu/pub/pdf/scpops/ecb.op206.en.pdf
  7. India Development Update https://documents1.worldbank.org/curated/en/342001596823446299/pdf/India-Development-Update.pdf
  8. Most Productive Countries 2021 https://worldpopulationreview.com/country-rankings/most-productive-countries
  9. Goldman, Morgan Stanley Say It’s Time to Jump Into Japan Stocks https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-16/cheap-valuations-low-inflation-to-boost-japan-stocks-in-2022
  10. China’s Stock Market, Including Shanghai, Shenzhen, and Hong Kong https://www.thebalance.com/china-stock-market-shanghai-shenzhen-hong-kong-3305480