by Jitta
วันที่ 7 ต.ค. 2563 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 12 ม.ค. 2566
ตระเวนหาโอกาสลงทุนกับหุ้นจีน (ตอนที่ 1)

พูดถึงหุ้นเทคโนโลยี ทุกคนก็คงจะนึกถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นที่แรก…

แต่ทุกวันนี้ จีน กำลังพัฒนาตามสหรัฐฯ มาติดๆ และหุ้นเทคของจีน ก็เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดอันดับต้นๆ ของประเทศเหมือนกับในสหรัฐฯ

วันนี้เลยมารีวิวหุ้นจีนที่น่าสนใจให้กับนักลงทุนครับ เริ่มจาก 2 บริษัทแรก Xiaomi และ Tencent ที่เรารู้จักและคุ้นหูกันเป็นอย่างดี

มาดูกันครับว่าแต่ละบริษัท มีผลประกอบการเป็นอย่างไรกันบ้าง

Xiaomi

หุ้นตัวแรกคือหุ้น Xiaomi ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาเกือบเท่าตัวในปีนี้ ธุรกิจของบริษัทหลักๆ ประกอบไปด้วยสามส่วนดังต่อไปนี้

1. ธุรกิจมือถือ

ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทที่สร้างรายได้ 54.8% ของรายได้ทั้งหมด ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมือถือสูงถึง 343 ล้านคน เติบโตขึ้นถึง 23.3% ถือว่าเป็นผู้ผลิตมือถือใหญ่อันดับที่ 4 ของโลก

มีรุ่นขายดีที่ใช้กับระบบ 5G ได้ เช่น Redmi K30 Pro และ Mi 10 และมีรุ่นเรือธงอย่าง Mi 10 Ultra ที่มีกล้องซูมด้วยเอไอได้ถึง 120 เท่า และชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้นถึงสามเท่า

ในช่วงไตรมาสที่สองมือถือระดับราคา 300 หยวนขายดีมากในประเทศแถบยุโรป เช่น สเปนและฝรั่งเศส เติบโตสูงถึง 99.2%

2. ธุรกิจไอโอที

อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ เครื่องดูดฝุ่น นาฬิกาอัจฉริยะเป็นต้น โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งานอยู่ทั้งหมด 27 ล้านคนทั่วโลกและมีการเติบโตสูงถึง 38.3%

3. ธุรกิจอินเตอร์เน็ต

ธุรกิจต่างๆ เช่น อีคอมเมิร์ซ โฆษณา เกมส์ แอปพลิเคชันบนแพลตฟอร์ม MI UI รายได้เติบโตได้ 29% YoY โดดเด่นที่สุดในบรรดากลุ่มธุรกิจทั้งหมด

ภาพรวมของบริษัทมีรายได้เติบโตในครึ่งปี 2020 อยู่ที่ 7.9% YoY ทำได้ 103,000 ล้านหยวน แต่กำไรไม่เติบโต โดยทำได้ 5,700 ล้านหยวน

กลยุทธ์ของบริษัทเน้นทำสินค้าที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าแต่มีราคาถูกกว่าคู่แข่งมาก บริษัทยึดหลักการมาร์จิ้น 5% สำหรับฮาร์ดแวร์ที่ขายเพื่อเป็นที่หนึ่งในตลาด

ในส่วนการทำโฆษณาก็ทำด้วยวิธีที่ประหยัดที่สุด โดยการทำผ่านทางออนไลน์หรือหาพันธมิตรที่ขายสินค้าออนไลน์เช่น Flipkart ในอินเดีย และเน้นการบอกปากต่อปาก

ค่า SG&A ของบริษัทของบริษัทจึงต่ำมากเพียง 0.7% ของยอดขายทั้งหมด ในขณะที่ Apple มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ประมาณ 7%

นอกจากนี้ยังเน้นสร้างแพลตฟอร์มบนระบบปฎิบัติการมือถือของตัวเองเพื่อให้มีช่องทางในการขายพวกแอปพลิเคชัน เกมส์ และการขายโฆษณา

โดยส่วนตัวผมยังมีความเชื่อมั่นว่าธุรกิจยังสามารถเติบโตไปได้ดีทั้งการขายมือถือและอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆที่บริษัททยอยออกมาจำนวนมาก

การที่มี 5G ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจไอโอทีมีการใช้งานมากขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตามในปีนี้ราคาปรับตัวขึ้นมาแล้วหนึ่งเท่าตัวและพีอีก็สูงถึง 39 เท่า นักลงทุนต้องศึกษาราคาที่เหมาะสมเพื่อเข้าลงทุนกันเพิ่มเติม

Tencent

หุ้นตัวที่สองคือหุ้นเทนเซ็นต์ ธุรกิจของบริษัทหลักๆ ประกอบไปด้วยสี่ส่วนดังต่อไปนี้

1. ธุรกิจการสื่อสารและโซเชียลมีเดีย

การสื่อสารและโซเชียลมีเดียภายใต้การให้บริการ WeChat ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันเหมือนกับ Facebook ใช้งานได้ทั้งการแชท ส่งข้อความ ทำวีดีโอคอล

ปัจจุบันมีผู้ใช้งานต่อเดือนกว่า 1.2 พันล้านคน

นอกจากนี้ยังมี QQ ที่ให้บริการการส่งของความเหมือนกับ WhatsApp มีผู้ใช้บริการกว่า 786 ล้านคน

2. ธุรกิจดิจิตอลคอนเทนท์

ดิจิตอลคอนเท้นท์ มีเกมส์ในมือ 140 เกมส์ให้บริการกว่า 100 ประเทศ โดยมีเกมส์ชื่อดังอย่าง Honour of Kings, PUBG MOBILE, League of Legends

มี Tencent Video ที่เหมือน Youtube ให้บริการวีดีโอแชร์ริ่งที่ใหญ่ที่สุดในจีน แต่มีหนัง รายการดัง กีฬาที่ถูกลิขสิทธิ์อยู่ในแพลตฟอร์มด้วย

ส่วนสุดท้ายคือ Tencent Pictures ที่สร้างรายได้ 55,000 ล้านหยวนจากหนังกว่า 35 เรื่อง และรายการทีวี 25 รายการที่มีคนดูไปแล้วกว่า 82,000 ล้านครั้ง

3. ธุรกิจฟินเทค

ส่วนที่สามคือฟินเทค ที่ให้บริการการจ่ายเงินผ่านมือถือ (Mobile Payment Solution) เชื่อมต่อจากบัญชีธนาคารเข้ากับระบบ ก็สามารถชำระเงินในชีวิตประจำวันได้หมด ทั้งการซื้ออาหาร ท่องเที่ยว ดูหนัง ช้อปปิ้ง

ตอนนี้ระบบการจ่ายเงินมีให้บริการกว่า 60 ประเทศ 17 สกุลเงิน

นอกจากนี้ยังมีบริการบริหารความร่ำรวยรายบุคคล (Wealth Management) ที่เรียกว่า LiCaiTong ที่สามารถลงทุนในกองทุน ประกัน บอนด์ หรือการลงทุนในต่างประเทศผ่านทางมือถือได้เลย

ปัจจุบันมีเงินกว่า 900,000 ล้านหยวนที่บริหารอยู่

4. ธุรกิจการลงทุน (Investment Portfolio)

ส่วนสุดท้ายคือ การลงทุน (Investment Portfolio) เนื่องจากมีกระแสเงินสดเหลือ บริษัทจึงนำเงินไปลงทุนถือหุ้นในบริษัทดังๆ เช่น ถือหุ้น Tesla 5% หุ้น Snap 12% หุ้น Spotify 9% และหุ้น JD.Com อีก 18.1% และลงทุนในหุ้นที่เหลืออีกกว่า 700 บริษัท

และยังมีธุรกิจคลาวด์ให้บริการด้านเอไอ ไอโอที และหุ่นยนต์

รายได้ในไตรมาสที่สองเติบโต 25% ทำได้ 114,883 ล้านหยวน ทำกำไร 37,107 ล้านหยวนเติบโต 37%

ธุรกิจที่เติบโตอย่างเด่นชัดในช่วงโควิดคือธุรกิจเกมส์ที่เติบโตสูงถึง 40% ทำได้ 38,288 ล้านหยวน

เท็นเซ็นต์เป็นบริษัทที่มีอัตรากำไรเบื้องต้นสูงถึง 46.3% และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 28.2%

ดังนั้นแล้ว ธุรกิจยังน่าจะเติบโตไปได้ดีด้วยตัวชูโรงอย่างธุรกิจฟินเทค และธุรกิจเกมส์

ความเสี่ยงหลักๆ ที่มี อาจมาจากการควบคุมของรัฐบาล เมื่อบริษัทเทคโนโลยีเติบโตจนครอบครองตลาดมากเกินไป ก็อาจจะมีกฎหมายมาควบคุม เหมือนอย่างที่ประเทศอเมริกากำลังเผชิญอยู่

ในส่วนของการแข่งขันในธุรกิจฟินเทคมี Alipay เป็นคู่แข่งหลัก แต่ด้วยแอป Wechat เป็นที่นิยมมากในจีน เลยทำให้ความนิยมของเท็นเซ็นต์ยังมีมากกว่าในส่วนนี้

ปัจจุบันหุ้นเท็นเซ็นต์มีค่าพีอีอยู่ที่ 40.86 เท่า นักลงทุนอาจจะต้องเปรียบเทียบดูกับอัตราการเติบโตในอนาคต ว่าคุ้มค่ากับการลงทุนแค่ไหน

==========

หุ้นจีนทั้งสองตัวที่ Billionaire VI กล่าวมานี้ นักลงทุนสามารถลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคล Global ETF ได้เลยนะครับ

เพราะ Global ETF จะลงทุนใน Vanguard FTSE Emerging Markets ETF (VWO) ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นทั้งหมดกว่า 2,300 หุ้นในตลาดจีน หรือคิดเป็น Market Cap ก็ประมาณ US$2,800,000 ไม่ว่าจะเป็น Tencent หรือกระทั่ง Alibaba JD.com และ Meituan Dianping ก็อยู่ในกองนี้ทั้งหมด

และไม่ใช่แค่หุ้นเทคจีนเท่านั้น แต่ Global ETF ยังซื้อหุ้นเทคสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฯลฯ ให้คุณด้วยในกองเดียว เรียกว่าลงทุนทั่วโลกเลย เริ่มต้นแค่ 100,000 บาทเท่านั้น

สนใจข้อมูลเพิ่มเติมดูได้ที่ https://bit.ly/2SxL1ir และดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อเปิดบัญชีที่ https://link.jittawealth.co/vtBYtqPBnab

อ่าน Blog ที่เกี่ยวข้อง

สรุป Live: ลงทุนต่างประเทศวิถีใหม่ สไตล์ Global ETF

จัดพอร์ตยังไง ให้ลดความผันผวน