สรุปเนื้อหาสำคัญ
- ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา พอร์ตของไอวี่ลดลง -12.73% ในขณะที่ดัชนี SET ลดลงมา -17.08% จากปัจจัยลบที่มีเข้ามาเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่อง Covid-19 ที่ทำให้ตลาดหุ้นตกหนักช่วงต้นปี
- รวม 3 ปี พอร์ตหนูไอวี่ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนี SET และกองทุนดัชนี SET TRI เล็กน้อย นั่นคือ ผลตอบแทนรวม 3 ปีอยู่ที่ -5.53% เทียบกับดัชนี SET ที่ -14.37% และกองทุนดัชนี SET TRI ที่ -7.21%
- ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นของหนูไอวี่ก็ดีกว่าดัชนีเช่นกัน โดยพอร์ต Jitta Wealth ของไอวี่ทำได้เฉลี่ยปีละ -1.88% เทียบกับดัชนี SET ที่เฉลี่ย -5.04% ต่อปี และกองทุนดัชนี SET TRI ที่เฉลี่ย -2.46% ต่อปี
- ไอวี่ได้กำไรในปีแรก แต่ปีที่ 2 และ 3 ขาดทุน พอคิดผลตอบแทนโดยรวมจึงยังติดลบ แต่โดยรวมพอร์ตไม่ได้เสียหายมาก แสดงให้เห็นว่าหลักการลงทุนที่ผ่านมาถูกต้องแล้ว
- ตามสถิติ 10 ปี จะมีปีที่ตลาดขาขึ้นราวๆ 7 ปี ตลาดขาลงประมาณ 3 ปี เท่ากับว่าพอร์ตของไอวี่ผ่านปีที่ตลาดหุ้นลงมาแล้ว 2 ปี ในปีต่อๆ ไปจึงน่าจะมีโอกาสได้กำไรมากกว่าขาดทุน เพียงเอาตัวรอดในปีที่แย่ๆ ได้ ลงทุนตามหลักการต่อไปเรื่อยๆ ผลตอบแทนในปีที่ตลาดหุ้นดีๆ จะทำให้พอร์ตเติบโตได้เอง
- การลงทุนหลังวิกฤตจะให้ผลตอบแทนที่สูงมาก แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครรู้แน่นอนว่าวิกฤตจะมาเมื่อไหร่ และจะจบลงเมื่อไหร่ ทำให้พออยู่ในสถานการณ์จริง คนมักไม่ค่อยกล้าลงทุน ขอรออีกเดี๋ยวๆ จนสุดท้ายก็สายไป
- แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด คือ ไม่พยายามเก็งว่าจะเกิดวิกฤตเมื่อไหร่ ให้เริ่มลงทุนเมื่อพร้อม และค่อยๆ ลงทุนเพิ่มไปเรื่อยๆ ทุกๆ เดือน ทุกๆ ปี
29 พฤษภาคม 2563
สวัสดีค่ะ หนูชื่อเด็กหญิงจิตตะพิชชา หรือ น้องไอวี่ ปีนี้หนูอายุ 3 ขวบแล้ว ขอบคุณ คุณลุงคุณป้า คุณน้า คุณอาทุกคน ที่คอยติดตามบันทึกของหนูมาทุกปีนะคะ
ตอนนี้หนูทานข้าวเอง อาบน้ำแต่งตัวเอง เข้าห้องน้ำเองได้แล้ว ส่วนงานอดิเรกของหนูตอนนี้ คือ อ่านหนังสือ ว่ายน้ำ และเล่นต่อเลโก้กับคุณพ่อค่ะ
หนูเริ่มเขียนบันทึกการลงทุนทุกปีตั้งแต่อายุ 1 ขวบ หลังจากที่คุณพ่อทดลองลงทุนให้หนูผ่าน Jitta Wealth ครบ 1 ปี หนูจะได้กลับมาทบทวนและทำความเข้าใจตลาดหุ้นให้ดียิ่งขึ้น
ว่างๆ หนูก็หยิบบันทึกปีก่อนๆ มาอ่านเสมอค่ะ ยิ่งหนูโตขึ้น รู้อะไรมากขึ้น ทุกครั้งที่ได้อ่านซ้ำ หนูจะเห็นรายละเอียดใหม่ๆ ที่ทำให้หนูเข้าใจธรรมชาติของตลาดหุ้นได้ลึกซึ้งมากกว่าเดิม
หนูเชื่อที่คุณพ่อบอกค่ะว่า “ยิ่งเราเข้าใจธรรมชาติของตลาดหุ้นมากเท่าไหร่ เรายิ่งเป็นนักลงทุนที่ดีมากขึ้นเท่านั้น”
หนูจึงเก็บบันทึกของหนูเอาไว้อย่างดี เผื่อใครอยากเข้าไปอ่านบ้าง ก็ลองดูได้นะคะที่
ยิ่งเราเข้าใจธรรมชาติของตลาดหุ้นมากเท่าไหร่ เรายิ่งเป็นนักลงทุนที่ดีมากขึ้นเท่านั้น
วันนี้ก็ครบรอบอีกปีแล้วที่หนูจะได้ดูพอร์ตการลงทุนและเรียนรู้เรื่องการลงทุนจากคุณพ่อ หนูตื่นเต้นมากเลยค่ะ
เพราะหนูแอบรู้สึกสังหรณ์ใจมาสักพักแล้วค่ะว่า ที่ผ่านมาต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นบนโลกของเราแน่นอน จู่ๆ โรงเรียนก็หยุดยาว หนูต้องนั่งจับเจ่าอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน ได้เห็นหน้าคุณครูและเพื่อนๆ บ้างบางวัน ผ่านหน้าจอโปรแกรมที่คุณแม่เรียกว่า Zoom
ที่แปลกที่สุดคือ คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้พาหนูออกไปเที่ยวข้างนอกเหมือนเดิม กลับสั่งหนังสือและของเล่นมาให้หนูเล่นที่บ้านแทน แถมคุณพ่อคุณแม่ก็มีเวลามาเล่นกับหนูเยอะขึ้น คุณพ่อบอกว่าช่วงนี้เปลี่ยนมาทำงานที่บ้านแทน ไม่ออกไปทำงานข้างนอกแล้ว
หนูเลยชอบเดินไปหน้าห้องทำงานคุณพ่อบ่อยๆ ดูว่าคุณพ่อเสร็จงานหรือยัง จะได้ขอให้มานั่งอ่านนิทานอีสปให้หนูฟัง วันนี้พอทานอาหารกลางวันเสร็จ หนูก็แอบไปเดินเล่นหน้าห้องทำงานคุณพ่อเหมือนเคย
สักพักคุณพ่อก็เรียกหนูเข้าไปหา พร้อมกับหอมแก้มหนูฟอดใหญ่ (เหมือนที่หนูวางแผนไว้เป๊ะ!) พอได้จังหวะหนูก็เลยถามว่า “คุณพ่อขา วันนี้ครบรอบปีอีกแล้วนะคะ พอร์ต Jitta Wealth ของหนูเป็นอย่างไรบ้างคะ”
คุณพ่อชะงักไปแป๊บนึง แล้วพูดว่า “จริงด้วยค่ะ ครบอีกปีแล้วนะ เวลาผ่านไปไวจังเลย”
แต่ก่อนที่คุณพ่อจะพูดอะไรต่อ หนูก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “ไอวี่ว่า ปีมีผ่านมามีเหตุการณ์ไม่ดีใช่ไหมคะคุณพ่อ ตลาดหุ้นไม่น่าจะดีแน่เลย เหมือนที่คุณพ่อคอยบอกหนูเสมอว่า ตลาดหุ้นเป็นแหล่งรวมอารมณ์ นักลงทุนไม่ชอบความไม่แน่นอน เวลามีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้น นักลงทุนส่วนมากจะตกใจและขายหุ้นออกมา ซึ่งอาจจะทำให้ราคาหุ้นร่วงลงมา 50% หรือมากกว่าได้เลยทีเดียว”
คุณพ่อได้ยินหนูพูด ก็ทำหน้าปลื้มใจมาก หนูเลยรีบพูดต่อ
“แต่ตลาดหุ้นจะตกยังไง ไอวี่ก็ไม่กลัวนะคะ เพราะไอวี่เชื่อมั่นในหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของคุณปู่วอร์เรนที่คุณพ่อเล่าให้ฟังมาตลอด ในระยะยาวราคาหุ้นจะไปคู่กับผลประกอบการบริษัทเสมอ ถ้าราคาหุ้นตกเราต้องมองเป็นโอกาสในการเลือกลงทุนในหุ้นดีๆ ใช่ไหมคะคุณพ่อ”
แหมพูดได้ขนาดนี้ ไม่ขึ้นแท่นลูกรักคุณพ่อ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วค่ะ อิอิ
คุณพ่อได้ยินก็หอมแก้มหนูอีกรอบ แล้วบอกว่า “ใช่แล้วค่ะไอวี่ หนูเข้าใจเรื่องการลงทุนมากขึ้นเยอะเลยนะคะเนี่ย น่าจะคอยหมั่นทบทวนสิ่งที่คุณพ่อเล่าให้ฟังตลอดใช่ไหมคะ ดีมากเลยค่ะ”
“ส่วนสถานการณ์ตลาดหุ้นโดยรวมปีที่ผ่านมา ก็เป็นอย่างที่ไอวี่รู้สึกนะคะ เป็นปีที่ลงทุนได้ยากมาก มีเรื่องร้ายๆ หลายอย่างเกิดขึ้น แต่เหตุการณ์ที่น่าจะสร้างผลกระทบให้กับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจมากที่สุด น่าจะเป็นเรื่องการระบาดของไวรัส Covid-19 ค่ะ เพราะทำให้การดำเนินธุรกิจทุกอย่างหยุดชะงักไปหมดเลยค่ะ ตั้งแต่เกิดมา คุณพ่อก็เพิ่งจะเคยเจออะไรแบบนี้เหมือนกันค่ะ” คุณพ่อเล่าต่อ
“เจ้า Covid-19 นี่เป็นยังไงเหรอคะ แล้วมันส่งผลยังไงบ้างเหรอคะ ใช่ตัวการที่ทำให้ไอวี่อดไปโรงเรียนหรือเปล่าคะ คุณพ่อขา” หนูถามคุณพ่อต่อทันที
คุณพ่อยิ้มแล้วตอบว่า “ใช่แล้วค่ะลูก แต่ก่อนจะไปพูดถึง Covid-19 ไอวี่จำได้ไหมคะว่า เวลาไปโรงเรียน ถ้ามีเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเป็นไข้หวัด เค้าต้องทำยังไงกันบ้างคะ”
“จำได้ค่ะ ที่โรงเรียนจะมีป้าพยาบาลวัดไข้พวกหนูก่อนเข้าไปเรียนตลอด ถ้าพบว่าใครมีไข้ก็จะให้กลับบ้านทันที และให้ไปหาหมอ ทานยา และพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านจนกว่าจะหาย ถึงจะให้กลับเข้ามาเรียนกับทุกคนได้ค่ะ” หนูตอบคุณพ่ออย่างรวดเร็ว
“แล้วทำไมเค้าถึงต้องให้เด็กที่มีไข้ไปพักอยู่ที่บ้านจนกว่าจะหาย ถึงค่อยกลับมาเรียนใหม่ ไอวี่ทราบไหมคะ” คุณพ่อถามต่อ
“ก็เพื่อไม่ให้คนที่เป็นไข้มาแพร่เชื้อทำให้พวกหนูติดไข้หวัดไปด้วยหรือเปล่าคะ เพราะถ้าทุกคนเป็นไข้หวัดกันหมด ก็จะไม่มีใครมาโรงเรียนได้เลย โรงเรียนก็ต้องปิด” หนูตอบไปแบบไม่ค่อยมั่นใจ แล้วเหลือบตามองไปด้านบน ก็เห็นรอยยิ้มบนหน้าคุณพ่อ แสดงว่าหนูน่าจะตอบถูกนะ
“ไอวี่เข้าใจถูกแล้วค่ะ เจ้า Covid-19 นี่เหมือนเป็นตัวการทำให้เกิดโรคไข้หวัดชนิดหนึ่งค่ะ เพียงแต่สิ่งที่ร้ายแรงกว่าคือ โรคนี้ติดต่อกันได้รวดเร็วมาก และเรายังไม่มียารักษาโรคนี้ให้หายได้ ทำให้คนที่เป็นมีโอกาสเสียชีวิตได้ค่ะ ดังนั้นเราจึงต้องจำกัดการแพร่ระบาดด้วยการให้ทุกคนอยู่แต่ในบ้านก่อน แล้วค่อยๆ รักษาคนที่มีอาการจนหาย เพราะไม่อย่างนั้นคนอาจจะติดโรคนี้กันทั้งประเทศและตายกันหมดค่ะ”
“นั่นเลยเป็นเหตุผลว่า คุณพ่อต้องมาทำงานอยู่บ้าน ไอวี่ต้องมานั่งเรียนอยู่ที่บ้าน เราต้องสั่งอาหารมาทานที่บ้านแทนออกไปทานข้างนอก หรือ ที่เราต้องใส่หน้ากากและล้างมือบ่อยๆ กันเวลาต้องออกไปทำธุระข้างนอกค่ะ ซึ่งไม่ใช่แค่บ้านเราทำที่แบบนี้ค่ะ ทุกคนในโลกก็ทำเหมือนกันกับเรา ทั้งหมดก็เพื่อควบคุมโรคร้ายนี้ไม่ให้แพร่กระจายออกไปค่ะ ซึ่งข่าวดีก็คือ ตอนนี้เราเริ่มควบคุมโรคได้ดีแล้วค่ะ มีจำนวนผู้ป่วยน้อยลงมากในแต่ละวัน และทางรัฐบาล ก็เริ่มเปิดให้คนออกไปทำงานต่างๆ นอกบ้านได้มากขึ้นแล้วค่ะ”
“หนูเข้าใจแล้วค่ะ แต่คุณพ่อคะ พอทุกคนหยุดอยู่บ้านกัน ก็ไม่มีใครออกไปซื้อของหรือทำงานได้ ร้านค้าต่างๆ ก็ขาดรายได้และอาจจะปิดกิจการไปในที่สุด ถ้าเป็นแบบนี้ ตลาดหุ้นก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยใช่ไหมคะ เพราะผลประกอบการโดยรวมของบริษัทน่าจะแย่ และ ราคาหุ้นก็จะลดลงไปด้วยในที่สุด”
“ใช่แล้วค่ะไอวี่ บริษัทในตลาดหุ้นน่าจะมีรายได้ที่ลดลงกันถ้วนหน้า แต่นอกเหนือจากผลกระทบจากระบบเศรษฐกิจจริงๆ ที่จะทำให้ตลาดหุ้นแย่แล้ว ก็มีผลจากอารมณ์หรือความกลัวของนักลงทุนด้วยค่ะ ที่ไม่แน่ใจว่าโรคนี้จะแพร่ระบาดได้ขนาดไหน คนจะติดโรคมากแค่ไหน ธุรกิจจะเจ๊งกันเยอะไหม ก็เลยขายหุ้นออกมาก่อน ก็ยิ่งทำให้ตลาดหุ้นร่วงลงไปได้เยอะค่ะ ในช่วงที่คนกลัวกันสุดขีดนั้น ตลาดหุ้นไทยร่วงลงมาประมาณ 30% ใน 1 เดือนเลยนะคะ”
“หูยยยย 30% เลยเหรอคะ น่ากลัวจังเลย แล้วพอร์ตไอวี่เป็นยังไงบ้างคะเนี่ย” หนูเริ่มอยากรู้เลยว่า พอร์ตหนูจะยังอยู่ดีหรือเปล่า
“เดี๋ยวเรารอตลาดหุ้นปิดเย็นนี้ก่อนนะคะ แล้วมาดูสรุปตัวเลขพอร์ตของไอวี่กัน รวมทั้งคุณพ่อจะได้อธิบายเรื่องราวของวัฏจักรตลาดหุ้นให้ไอวี่ฟังด้วยค่ะ เพราะปีนี้พอร์ตของหนูได้เจอวิกฤตและความ panic ขั้นสุดยอดในรอบ 10 ปีเลยนะคะ” คุณพ่อตอบไปยิ้มไป
“ได้ค่ะคุณพ่อ งั้นเดี๋ยวหนูไปเล่นต่อเลโก้รอนะคะ” หนูตอบไปด้วยเสียงใสๆ ในใจก็อยากจะให้ถึงตอนเย็นเร็วๆ จัง น่าจะได้ฟังเรื่องราวสนุกๆ ของตลาดหุ้นจากคุณพ่อต่ออีกเยอะแน่ๆ เลย
ตลาดหุ้นไทยใน 1 ปีที่ผ่านมา
วันนี้ตอนเย็นคุณพ่อสั่งโซบะกุ้งเทมปุระของโปรดของหนูมาให้ หนูรีบทานให้หมดอย่างรวดเร็ว แล้วก็ไปนั่งอ่านหนังสือรอ
พอคุณพ่อทานอาหารเสร็จ ก็บอกว่า “ไอวี่คะ เราไปดูพอร์ตของหนูกันเลยดีมั้ยคะ”
หนูพยักหน้าทันที “ไปค่ะคุณพ่อ”
แล้วคุณพ่อก็เดินจูงมือหนูไปที่ห้องทำงาน และ เปิดคอมพิวเตอร์ให้หนูดูกราฟอะไรสักอย่าง ซึ่งหนูเดาว่าน่าจะเป็นกราฟการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้น
“โอเค ก่อนจะไปที่พอร์ตของไอวี่ เรามาดูกราฟการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นกันก่อนนะคะ ไอวี่จำที่คุณพ่อเคยสอนได้ไหมคะว่า ดัชนีตลาดหุ้นคืออะไร?” คุณพ่อถาม
“ดัชนีตลาดหุ้น คือ ตัวแทนของตลาดหุ้นในภาพรวมค่ะ เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในระยะยาว และอารมณ์ของนักลงทุนในแต่ละช่วงเวลาค่ะ
ในระยะสั้นดัชนีตลาดอาจจะแกว่งขึ้นลง ผันผวนได้มากตามอารมณ์ความโลภ ความกลัวของนักลงทุนในช่วงนั้นๆ แต่ในระยะยาวแล้วดัชนีตลาดจะเติบโตขึ้นตามมูลค่ารวมของบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นค่ะ” หนูตอบตามที่ท่องมาเมื่อคืนได้ทันที
“เก่งมากค่ะลูก ท่องมาเป๊ะไปไหมคะเนี่ย”
วงจรตลาดหุ้นที่ทำให้เกิด Panic Selling
“ถ้าหนูลองดูกราฟดัชนีของตลาดหุ้นไทยปีที่ผ่านมา หนูเห็นอะไรบ้างคะ” คุณพ่อพูดพลางชี้ไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ให้หนูได้ใช้เวลาตั้งใจดูกราฟนั้นให้ดีๆ
“โอ้ คุณพ่อคะ ช่วงที่ดัชนีร่วงลงมาจนแทบจะเป็นเส้นตรงเลยนี่คืออะไรคะ ดูน่ากลัวมาก” หนูชี้ไปตรงเส้นกราฟที่หนูคิดว่าดูแปลกที่สุดละ อยู่ๆ ตกลงมาแบบนี้ได้ยังไง
“นั่นคือ ช่วงเวลาที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อ Covid-19 ในประเทศไทยเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเกินจะควบคุมได้ค่ะ สถานการณ์ดูย่ำแย่มากในตอนนั้น ทำให้นักลงทุนในตลาดหุ้นตกใจและขายหุ้นออกมาแบบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นค่ะ ไอวี่จะเห็นว่าในช่วงเวลาเพียงแค่ประมาณ 1 เดือนนิดๆ ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 24 มีนาคม ดัชนีร่วงลงมาจาก 1,513.68 จุด ไปต่ำสุดที่ 1,033.84 จุด หรือลดลงถึง -31.70% เลยค่ะ เงินลงทุน 1 ล้านบาท จะเหลือเพียงประมาณ 693,000 บาทเท่านั้นเอง”
“เข้าใจแล้วค่ะคุณพ่อ แต่หนูงงว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้คะ หนูนึกว่านักลงทุนต้องลงทุนด้วยเหตุผลเหมือนคุณพ่อซะอีก ทำไมคนต้องมาตกใจแย่งกันขายหุ้นกันตอนตลาดแย่ๆ ราคาหุ้นตกหนักๆ ด้วย นั่นจะไม่ทำให้เราขายได้ราคาต่ำๆ เหรอคะ” ไอวี่ถามด้วยความสงสัย
“ในสถานการณ์จริงๆ ช่วงเกิดวิกฤต ตลาดหุ้นจะทำงานแบบเป็นวงจรที่ซ้ำเติมความแย่ ยิ่งคนขายหุ้นเยอะ ก็จะทำให้ราคาหุ้นตกลงไปเรื่อยๆ จนเราเริ่มสับสนและกลัวว่า ถ้าเราไม่ขายตอนนี้ราคาหุ้นก็อาจจะตกลงไปต่อได้ เมื่อเกิดความกลัวถึงจุดๆ หนึ่ง คนเราก็อาจจะขายหุ้นออกมาแบบไร้เหตุผลได้ค่ะ
ถ้าอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น วงจรตลาดหุ้นที่ซ้ำเติมราคาหุ้นในช่วงวิกฤตจะเป็นประมาณนี้ค่ะ
- เกิดเหตุการณ์ผิดปรกติ ที่มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น เช่น กรณี Covid-19
- คนกลุ่มแรกเริ่มขายหุ้นบางส่วนออกมา เพราะรู้ว่ามีโอกาสที่สถานการณ์จะแย่ลง เลยขายหุ้นบางส่วนออกมาถือเป็นเงินสดไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัย ดัชนีตลาดเริ่มค่อยๆ ลดลง
- สถานการณ์เริ่มชัดเจนขึ้นว่า น่าจะหนักแน่นอน คนกลุ่มที่สองเริ่มขายหุ้นออกมาบ้าง ดัชนีตลาดหุ้นเริ่มลดลงเร็วขึ้น ราคาหุ้นส่วนมากเริ่มตกลงทุกวัน
- สื่อต่างๆ พูดถึงสถานการณ์มากขึ้น คนทั่วไปเริ่มรู้สึกกังวลว่าจะต้องแย่แน่ๆ ประกอบกับเห็นราคาหุ้นตกลงทุกวัน ก็เริ่มรู้สึกว่าถ้าไม่ขายเดี๋ยวหุ้นต้องตกไปอีก ถ้าเหตุการณ์แย่ไปกว่านี้ จึงเริ่มขายหุ้นออกมา ราคาหุ้นก็ยิ่งตกมากขึ้น ดัชนีตลาดก็เริ่มหักหัวลงอย่างชัดเจน
- พอคนจำนวนมากเริ่มขาย ราคาหุ้นก็ยิ่งตกลงอย่างรวดเร็ว คนที่ตอนแรกอาจจะไม่ได้กลัวมาก ก็เริ่มรู้สึกกลัวแล้วว่า เหตุการณ์อาจจะแย่กว่าที่คิด และ ราคาหุ้นอาจจะตกลงไปอีก ก็เริ่มขายหุ้นบ้าง ราคาหุ้นก็ยิ่งลดลงไปอีก
- โปรแกรมซื้อขายหุ้นต่างๆ พอเห็นราคาหุ้นตกถึงจุดๆ หนึ่ง ก็จะป้องกันความเสี่ยงด้วยการ cut loss ขายหุ้นที่มีในพอร์ตทิ้งไปเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็ยิ่งตกลงไปอีก
- เมื่อราคาหุ้นลดลงหนักๆ คนที่ใช้เงินกู้ยืมมาซื้อหุ้น (margin) ก็จะถูกบังคับขายหุ้นทุกราคา เพื่อใช้คืนเงินกู้ จุดนี้ราคาหุ้นทุกตัวจะร่วงโดยทั่วหน้า และเป็นการขายโดยไร้เหตุผลที่แท้จริง ทำให้ราคาหุ้นตกลงแบบ free fall ได้เลย
- คนที่เหลือที่ยังไม่ได้ขายหุ้น พอถึงจุดนี้ก็จะทนไม่ไหวอีกต่อไป ก็จะยอมแพ้และขายหุ้นทั้งหมดออกมาด้วยความกลัวว่า ถ้าไม่ขาย ตัวเองอาจจะหมดตัวได้
- หลังจากที่คนจำนวนมากขายหุ้นไปแล้ว หุ้นก็จะเริ่มหยุดตก เพราะไม่มีหุ้นให้ขายแล้ว คนที่ยังถือหุ้นอยู่ส่วนมากก็จะรอให้ตลาดหุ้นฟื้นกลับแล้ว เมื่อไหร่ที่เริ่มมีข่าวดีออกมาว่า สถานการณ์เริ่มสงบแล้ว คนก็อาจจะกลับเข้ามาซื้อหุ้น ทำให้ราคาหุ้นและตลาดหุ้นเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
นี่แหละค่ะ วงจรของตลาดหุ้นที่ทำให้คนเกิด panic sell หรือ การขายหุ้นหนีตายทุกราคาได้ โดยไม่สนใจเหตุผลอะไรเลยค่ะ และเป็นจุดที่อาจจะทำให้คนที่เพิ่งเริ่มลงทุนมาไม่นานถอดใจไปได้เลยค่ะ”
“ฟังดูน่ากลัวจังเลยค่ะคุณพ่อ”
“ใช่ค่ะ สำหรับคนทั่วไปอาจจะรู้สึกกลัวมากที่เห็นราคาหุ้นลดลงทุกวันทำให้มูลค่าสินทรัพย์ที่เราถืออยู่ร่วงเอาๆ อย่างรวดเร็ว แต่สำหรับนักลงทุนจะมองเห็นโอกาสในการลงทุนที่ดีมากๆ ค่ะ
เพราะเราเข้าใจอยู่แล้วว่าตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง และคนกำลังขายหุ้นด้วยความกลัวอยู่ แต่อีกสักพักเมื่อเวลาผ่านไป คนมีสติมากขึ้น ปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขแล้ว ตลาดหุ้นก็จะกลับขึ้นมาใหม่ค่ะ
นี่คือ วัฏจักรตลาดหุ้นที่มีมาเป็นร้อยปีแล้ว และก็ยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ ค่ะ
ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง คนขายหุ้นด้วยความกลัว แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนมีสติมากขึ้น ปัญหาได้รับการแก้ไข ตลาดหุ้นก็จะกลับขึ้นมาใหม่ เป็นแบบนี้มาเป็นร้อยปีแล้ว และก็จะยังเป็นแบบนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ
ถ้าไอวี่ดูดัชนีตลาดหุ้นต่อจากที่ตกลงมาหนักๆ เมื่อกี้ จะเห็นว่าหลังจากวันที่ 24 มีนาคมตลาดหุ้นก็วิ่งกลับขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 1,033.84 จุด มาอยู่ที่ 1,342.85 จุด ในวันนี้ หรือ บวกเพิ่มขึ้นมา +29.89% ภายในเวลา 2 เดือนค่ะ
ใครที่กล้าเข้าไปลงทุนช่วงนั้น ก็จะได้รับผลตอบแทนที่สูงมากเลยทีเดียว” คุณพ่อพูดไปยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี
“จริงด้วยค่ะคุณพ่อ ถ้าหนูดูใกล้ๆ เห็นแต่ตอนหุ้นตกก็คงกลัวเหมือนกัน แต่พอขยับมามองภาพใหญ่ขึ้น เป็นทั้งปี พอตลาดหุ้นตกลงไปหนักๆ แป๊บเดียวก็กลับขึ้นมาเยอะแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวขนาดนั้นนะคะ”
“ใช่ค่ะ ถ้าเราเข้าใจเรื่องธรรมชาติและความผันผวนของตลาดหุ้นได้ ไม่ว่าตลาดหุ้นจะวิ่งขึ้นลงยังไง เราก็จะมีสติและตัดสินใจลงทุนได้อย่างถูกต้องเสมอค่ะ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่คุณพ่อสอนเรื่องเหล่านี้ให้ไอวี่เข้าใจตั้งแต่ยังเด็กไงคะ โตขึ้นไปไอวี่ก็ไม่กลัวเวลาตลาดหุ้นตกแรงๆ แล้วค่ะ จะมองเห็นแต่โอกาสลงทุนเต็มไปหมดค่ะ”
วัฏจักรของความโลภและความกลัว
“และเพื่อให้หนูเข้าใจมากขึ้นว่า อารมณ์ของคนส่งผลกับตลาดหุ้นยังไง ไอวี่ลองดูภาพนี้ค่ะ” คุณพ่อเอื้อมมือไปเปิดไฟล์ภาพใหม่ขึ้นบนจอ
ภาพนี้เป็นภาพที่แสดงถึงวัฏจักรของตลาดหุ้น โดยเชื่อมโยงกับอารมณ์ของคนในตลาดหุ้นในแต่ละช่วงเวลา
จะเห็นว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นขึ้นมาเยอะมากใกล้จะอยู่จุดสูงสุดแล้ว จะเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนมีความสุขที่สุด เพราะที่ผ่านมาใครซื้อหุ้นก็กำไรกันหมด ทุกคนคิดว่าตนเองเป็นนักลงทุนที่เก่ง คิดว่าการทำเงินจากตลาดหุ้นเป็นเรื่องง่ายๆ
แต่จริงๆ แล้วนั่นเป็นจุดที่อันตรายมากแล้ว เพราะทุกคนจะพยายามเอาเงินมาซื้อหุ้นในตลาดกันอย่างหนัก จนราคาหุ้นโดยรวมอาจจะแพงเกินพื้นฐานทางธุรกิจไปมากแล้ว มีความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นจะร่วงลงมาได้สูง
ในทางกลับกันในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นตกลงมามากๆ จะเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนท้อแท้สิ้นหวัง หลายคนขาดทุนอย่างหนักจากการซื้อขายหุ้นในช่วงที่ผ่านมา ทุกคนรู้สึกว่า ตลาดหุ้นเป็นอะไรที่เสี่ยงมาก การทำเงินจากตลาดหุ้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลายคนขายหุ้นที่มีทั้งหมดทิ้งออกมา เพราะกลัวว่าตลาดหุ้นอาจจะพังทลายลง
แต่ในความเป็นจริงแล้วนั่นคือจุดที่ปลอดภัยและน่าลงทุนมาก เพราะคนจำนวนมากได้ขายหุ้นทิ้งกันไปหมดแล้ว ทำให้ราคาหุ้นโดยรวมต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับพื้นฐานทางธุรกิจ มีความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาในอีกไม่นาน
ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่ต้องการทำกำไรจากตลาดหุ้น จำเป็นต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างความผันผวนของตลาดหุ้นและอารมณ์ของคนที่อยู่ในตลาดให้ขึ้นใจ และคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอเวลาที่ตลาดหุ้นขึ้นมามากๆ ให้ระวังตัว และบอกให้ตนเองกล้าลงทุน เวลาที่ตลาดหุ้นตกลงมามากๆ”
“เหมือนที่คุณปู่วอร์เรนบอกไว้ใช่ไหมคะว่า ‘ให้โลภเมื่อคนอื่นกลัว และให้กลัวเมื่อคนอื่นโลภ’ ช่วงเวลาที่ผู้คนขายอย่างไร้เหตุผล นั่นแหละคือเวลาที่เราควรจะกล้าเข้าไปลงทุน เพราะสินทรัพย์หลายอย่างจะมีราคาถูกกว่าความเป็นจริง และเราจะทำกำไรได้เมื่อทุกอย่างกลับมามีเหตุผลเหมือนเดิม” ไอวี่คิดว่าไอวี่เริ่มเข้าใจประโยคนี้อย่างถ่องแท้ ก็ตอนนี้แหละค่ะ
“ใช่แล้วค่ะ ลูกรัก แต่ของแบบนี้พูดง่าย แต่ทำยากค่ะ จะทำได้จริงๆ ต้องอยู่ในตลาดหุ้นมานานพอที่จะเห็นวัฏจักร เห็นอารมณ์แบบต่างๆ ให้ครบก่อน เราถึงจะเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างแท้จริง
และนั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่คุณพ่อลงทุนกับ Jitta Wealth ให้หนูตั้งแต่เด็กๆ ไงคะ หนูจะได้คอยดูพอร์ตของหนูเติบโตผ่านเหตุการณ์ผ่านวัฏจักรต่างๆ จนครบ และเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน โดยที่หนูไม่ต้องไปเครียดหรือไปวุ่นวายเรื่องการซื้อขายหุ้น หรือไปมีอารมณ์กับสภาวะตลาดใดๆ เลย คอยนั่งดูและเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไปเรื่อยๆ ทุกปีค่ะ”
“เห็นด้วยค่ะคุณพ่อ หนูว่า ปีนี้หนูได้เรียนรู้เรื่องอารมณ์ตลาดแบบเข้าใจชัดแจ้งเลยค่ะ”
ลงทุนก่อน ระหว่าง หรือหลังวิกฤตดีกว่า
“แล้วในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤต หรือ มี panic แบบนี้ นักลงทุนควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรคะ ควรจะลงทุนเพิ่มมั้ยคะ” ไอวี่ถามด้วยความอยากรู้
“แน่นอนค่ะว่า ถ้านักลงทุนเข้าใจและมีความกล้าที่จะลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังสิ้นหวังนั้น จะทำให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีมากค่ะ นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่หลายๆ คนก็มักจะทำกำไรมากมายมหาศาลในช่วงที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤตกันทั้งนั้นค่ะ”
“เพื่อให้ไอวี่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เรามาดูสิ่งที่น่าสนใจกันเพิ่มดีกว่าค่ะว่า ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตขึ้นนั้น นักลงทุนสามารถตัดสินใจแบบไหนได้บ้าง และ แต่ละแบบจะส่งผลลัพธ์ต่อผลตอบแทนการลงทุนอย่างไร” คุณพ่อพูดเสร็จก็เปิดไฟล์ใหม่มาให้หนูดูอีกละ คุณพ่อหนูนี่ก็เก็บข้อมูลเยอะจัง
“ข้อมูลที่ไอวี่เห็นอยู่นี้ คือ ข้อมูลผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นไทยจริงๆ ในแต่ละปี โดยย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2551 ที่ปีนั้นมีวิกฤตการเงินที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และลามมาทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงมาถึง 45.1% ในปีนั้นด้วยค่ะ”
ถ้าสมมติว่าเราจะลงทุนในตลาดหุ้นยาวไปเลย 10 ปี
กรณีที่ 1: เราเริ่มลงทุนในปี 2552 ซึ่งเป็นปีแรกหลังเกิดวิกฤต แต่ทุกคนยังไม่ค่อยกล้าลงทุนกันเท่าไหร่ แต่จะเห็นว่ากลับเป็นปีที่ให้ผลตอบแทนดีมาก คือ ตลาดหุ้นโตถึง 71.35% เลยค่ะ และหลังจากนั้นตลาดหุ้นก็ค่อยๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ มีลงบ้างในบางปี แต่โดยรวมแล้ว ก็ให้ผลตอบแทนทบต้นถึง 17.51% ต่อปี ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่สูงมากค่ะ
ถ้าเรากล้าที่จะลงทุนในช่วงที่คนอื่นกลัวได้ เราจะได้ผลลัพธ์ที่ดีแบบนี้แหละค่ะ
กรณีที่ 2: เราเริ่มลงทุนในปี 2010 ซึ่งเป็นปีที่สองหลังเกิดวิกฤต ซึ่งเป็นปีที่คนเริ่มกล้าเข้ามาลงทุนมากขึ้น เพราะเห็นว่าสถานการณ์น่าจะคลี่คลายแล้ว ตลาดหุ้นปีที่แล้วก็ขึ้นมาเยอะ ก็น่าจะปลอดภัยแล้ว ถ้าเราเริ่มลงทุนในปีนี้และลงทุนไปเรื่อยๆ อีก 10 ปี เราจะได้ผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ 11.82% ต่อปี ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีพอสมควรเช่นเดียวกันค่ะ
ถ้าเราพลาดการลงทุนในตลาดหุ้นในปีแรกหลังเกิดวิกฤต ก็จะทำให้ผลตอบแทนของเราลดลงมามากทีเดียวเมื่อเทียบกับการลงทุนหลังวิกฤตทันที แต่ก็ยังถือว่า เราก็ยังได้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ค่ะ
กรณีที่ 3: เราเริ่มลงทุนในปี 2551 ที่เกิดวิกฤต พอร์ตติดลบในปีแรกถึง -45.10% แต่เราเข้าใจวัฏจักรตลาดหุ้นดี เราไม่กลัวและไม่ได้ขายหุ้นที่ตกลงมา เรียกว่าเราลงทุนผ่านวิกฤตมาอย่างมั่นใจ และถือต่อมาเรื่อยๆ จนครบ 10 ปี เราจะได้ผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ 11.61% ต่อปี ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีเช่นกันค่ะ
สังเกตไหมคะไอวี่ว่า ต่อให้เราโชคร้ายมาก ลงทุนปีแรกก็ขาดทุนเลย -45.10% แต่ถ้าเราไม่กลัว ไม่ขายหุ้นตอนที่ตลาดกำลังตกใจกลัว สุดท้ายเราก็ยังคงได้ผลตอบแทนที่ดี ไม่แพ้การเริ่มลงทุนหลังวิกฤตไป 1 ปี ตอนปี 2553 เลยค่ะ
กรณีที่ 4: เราเริ่มลงทุนในปี 2551 และเมื่อเกิดวิกฤตขึ้น เราตกใจกลัวและขายหุ้นออกมาตอนที่ตลาดกำลังสิ้นหวังสุดขีด หลังจากนั้นเมื่อสถานการณ์กลับมาสงบอีกครั้ง เริ่มเห็นตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นมา ก็ค่อยกลับมาลงทุนในปี 2553 พบว่าการทำแบบนี้ทำให้เราได้รับผลตอบแทนทบต้นเพียงแค่ 4.87% ต่อปีเท่านั้นเอง ซึ่งน้อยกว่ากรณีที่ 1-3 อย่างมาก
ดูจากตัวเลขแล้ว ก็เห็นได้ชัดเจนเลยใช่ไหมคะว่า “การที่เรากลัวและเอาเงินออกจากตลาดหุ้นในช่วงที่น่าลงทุนที่สุด ทำให้ผลลัพธ์ออกมาแย่ที่สุดเลยค่ะ”
“ไอวี่ชอบคุณพ่อจังเลยค่ะ เวลาอธิบายแล้วมีตัวอย่างชัดเจนแบบนี้ ทำให้ไอวี่เข้าใจได้ง่ายมากเลยค่ะ ถ้าไอวี่รู้แบบนี้แล้ว สิ่งที่ไอวี่จะทำก็คือ การรอลงทุนหลังวิกฤตใช่ไหมคะ”
“ทั้งใช่และไม่ใช่ค่ะ” คุณพ่อและก้มลงมามองหน้าไอวี่
“เอ๋ ยังไงคะคุณพ่อ” ไอวี่งง
“ดูจากตัวเลขนี้แล้ว แน่นอนว่า การลงทุนหลังวิกฤตจะให้ผลตอบแทนที่สูงมาก แต่ปัญหาใหญ่คือ ในความเป็นจริง เราไม่ค่อยรู้กันหรอกว่า วิกฤตจะมาเมื่อไหร่ และจะจบลงเมื่อไหร่ ทำให้พออยู่ในสถานการณ์จริง คนทั่วไปจะไม่ค่อยกล้าตัดสินใจ และคิดว่ารออีกเดี๋ยวๆ แล้วค่อยลงทุน ดังนั้นกว่าที่จะได้ลงทุนบางทีก็อาจจะช้าไปแล้ว
ดังนั้นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด คือ การที่เราไม่ต้องไปพยายามเก็งว่าเมื่อไหร่จะเกิดวิกฤต และ เราจะต้องลงทุนตอนไหนดี ให้เราเริ่มลงทุนเมื่อเราพร้อมได้เลย และค่อยๆ ลงทุนเพิ่มไปเรื่อยๆ ทุกๆ เดือน ทุกๆ ปี
เพราะในความเป็นจริง ในทุกๆ 10 ปี ตลาดหุ้นจะขึ้นประมาณ 7 ปี และ ลงประมาณ 3 ปีอยู่แล้ว ถ้าเราตั้งใจจะลงทุนระยะยาวเป็น 10 ปีขึ้นไป ยังไงก็ต้องมีปีที่ตลาดหุ้นดีมากกว่าตลาดหุ้นแย่อยู่แล้ว
และเมื่อไหร่ที่เราเห็นตลาดหุ้นตกหนักๆ เราอาจจะค่อยลงทุนเพิ่มเยอะๆ ตอนนั้นเป็นพิเศษก็ได้ วิธีนี้ในระยะยาวแล้วจะทำให้เราได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยดีกว่า การคอยวิ่งเข้าออกจากตลาดหุ้นด้วยอารมณ์ค่ะ”
“ไอวี่จำได้ค่ะเรื่องนี้ หนูไปอ่านบทความ เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุน ที่คุณพ่อเขียนไว้มาหลายรอบเลยค่ะว่า เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุนก็คือ ตอนนี้ และให้ลงทุนติดต่อกันไปเรื่อยๆ ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีเองค่ะ” ไอวี่รีบตอบ
“ใช่ค่ะ ในความเป็นจริงจะเห็นว่า ถ้าเราตั้งใจลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว ตลาดหุ้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายๆ คนคิดกัน เพราะต่อให้เราเริ่มลงทุนในปีที่ตลาดหุ้นตกหนักๆ เช่นปี 2008 ที่ตลาดหุ้นตกไป -45.10% แม้เราจะไม่ได้ลงทุนเพิ่มเติมเข้าไปอีก พอผ่านไป 10 ปี เราก็ยังคงได้ผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ 11.61% ต่อปี ซึ่งเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงมากเมื่อเทียบกับเงินฝากหรือพันธบัตรต่างๆ อยู่ดีค่ะ
เพราะตามหลักการแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในระยะยาวอยู่แล้วค่ะ เพียงแต่อารมณ์ของคนที่แหละค่ะที่ทำให้ผลตอบแทนแย่ลง
เพราะตอนที่หุ้นขึ้นมาเยอะๆ คนกลับจะยิ่งใส่เงินเข้ามาลงทุน แต่ตอนที่หุ้นตกกลับกลัวและถอนเงินออกไป ทั้งๆ ที่จริงๆ ถ้าเราเข้าใจภาพของตลาดหุ้นและสภาวะอารมณ์ของคนอื่นๆ ในตลาด
สิ่งที่เราต้องทำคือทำกลับกันค่ะ ตอนที่ตลาดหุ้นขึ้นเยอะๆ เราควรจะชะลอการลงทุนลง และตอนที่หุ้นตกหนักๆ เราควรจะลงทุนให้เต็มที่ค่ะ
ตอนที่ตลาดหุ้นขึ้นเยอะๆ เราควรจะชะลอการลงทุนลง และ ตอนที่หุ้นตกหนักๆ เราควรจะลงทุนให้เต็มที่
คุณปู่บัฟเฟต์บอกไว้ค่ะว่า “ศัตรูตัวฉกาจของนักลงทุนก็คือ อารมณ์และค่าใช้จ่าย” นั่นเองค่ะ ยิ่งเราซื้อๆ ขายๆ หุ้นตามอารมณ์มาก ผลตอบแทนเราก็จะแย่ตามที่เห็นอยู่แล้ว และ ยิ่งไปโดนค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นอีก ก็ยิ่งทำให้ผลตอบแทนโดยรวมแย่ลงไปอีกค่ะ
ดังนั้นถ้าเราเข้าใจหลักการลงทุนระยะยาวแล้ว เราเข้าใจเรื่องความผันผวนและสภาวะอารมณ์ต่างๆ ของตลาดแล้ว จะทำให้เรามีสติอยู่ตลอดเวลา และลงทุนได้อย่างถูกต้องในทุกสถานการณ์ค่ะ
คุณพ่อว่าปีนี้เป็นปีที่นักลงทุนน่าจะได้เรียนรู้เรื่องอารมณ์ต่างๆ ในตลาด รวมถึงได้รู้จัตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนใหม่ๆ ที่เพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาดไม่นาน ยังไม่เคยผ่านวิกฤตแรงๆ มาก่อน ยังไม่เคยเห็นราคาหุ้นตกลงแบบ panic หนักๆ แบบลดลง 30% ใน 1 เดือน ในปีนี้ก็ได้เห็นแล้ว และก็น่าจะเป็นจุดวัดใจที่ดีว่าใครจะอยู่ ใครจะไปต่อค่ะ”
ไอวี่ยกมือขวาขึ้นทันที พร้อมกับพูดว่า “ไอวี่ไปต่อแน่นอนค่ะ เพราะหนูมั่นใจว่า พอร์ตของหนูที่ Jitta Wealth บริหารจัดการให้นั้น ถูกต้องตามหลักการและจะเติบโตผ่านวิกฤตต่างๆ ไปได้อย่างแน่นอนค่ะ”
“555 ถ้ามั่นใจขนาดนี้ เราพักเรื่องราวของตลาดหุ้นไว้ตรงนี้ แล้วมาดูพอร์ตของไอวี่กันเลยดีกว่าค่ะ”
ผลตอบแทนของพอร์ตไอวี่
“จากที่ไอวี่ฟังสถานการณ์ตลาดหุ้นของปีที่ผ่านมา รวมทั้งเห็นการเคลื่อนไหวขึ้นลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยแล้ว ไอวี่คิดว่าพอร์ตไอวี่จะเป็นยังไงบ้างคะ”
“ไอวี่คิดว่า ก็น่าจะลดลงเยอะนะคะ สถานการณ์แย่ขนาดนี้ แต่ไม่ว่าพอร์ตจะลดลงเยอะขนาดไหน ไอวี่ก็รับได้ค่ะ เพราะได้เรียนรู้ไปแล้วว่า ยังไงถ้าเราจะลงทุนระยะยาว เราต้องเจอวิกฤตบ้างอยู่แล้ว และเมื่อวิกฤตผ่านพ้นไป พอร์ตเราก็จะกลับมาเติบโตตามพื้นฐานของหุ้นที่เราเลือกลงทุนอยู่ดีค่ะ”
“โอเค ถ้าเตรียมใจไว้แล้ว เราก็ไปดูตัวเลขกันเลยค่ะ โดยเรามาดูเฉพาะผลตอบแทนของปีที่ผ่านมาก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยไปดูผลตอบแทนรวมและผลตอบแทนทบต้นต่อปีค่ะ”
โดยภาพรวมช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดลงจาก 1,619.36 จุด เหลือเพียงแค่ 1,342.85 จุด หรือลดลง -17.08% จากปัจจัยลบที่มีเข้ามาเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่อง Covid-19 ที่มาทำให้ตลาดหุ้นตกหนักๆ ในช่วงต้นปีนี้ค่ะ
ในส่วนพอร์ตของไอวี่เอง ในปีที่ผ่านมา เงินเริ่มต้นอยู่ที่ 1,082,516 บาท พอครบปี เงินหนูลดลงมาเหลือแค่ 944,688 บาท เท่ากับพอร์ตลดลงไป -12.73% ค่ะ ซึ่งแม้ว่าพอร์ตของหนูจะลดลง แต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างแข็งแกร่งมากนะคะ เพราะสามารถผ่านปีที่เกิดวิกฤตขนาดนี้แล้ว พอร์ตยังติดลบแค่ -12.73% ค่ะ
“ค่ะคุณพ่อ หนูได้เห็นตัวเลขนี้แล้วก็สบายใจขึ้นค่ะ ตอนแรกคิดว่าพอร์ตหนูจะแย่กว่านี้เยอะค่ะ จากที่ได้ฟังคุณพ่อเล่าสถานการณ์ปีที่ผ่านมา และ เห็นกราฟดัชนีตลาดหุ้นร่วงเป็นแนวดิ่งขนาดนั้น ถ้าติดลบแค่ -12.73% แค่นี้หนูสบายมากค่ะ เดี๋ยวปีต่อๆ ไปหลังวิกฤตพอร์ตหนูก็จะกลับมาโตขึ้นเอง”
“ถ้าเรามองภาพรวมตอนครบปี ไอวี่อาจจะเห็นว่าพอร์ตขาดทุนไม่เยอะมาก รับได้สบายๆ ใช่ไหมคะ แต่จริงๆ สิ่งที่น่าสนใจที่เราควรจะต้องมาดูกันด้วยก็คือ ในระหว่างปีเกิดอะไรขึ้นกับพอร์ตของไอวี่บ้างค่ะ และถ้าเราไปอยู่ในสถานการณ์ตอนนั้นจริงๆ เราจะรู้สึกยังไง
คุณพ่อขอแบ่งช่วงเวลาใหญ่ๆ ออกเป็น 4 ช่วงให้เห็นภาพนะคะ
ช่วงที่ 1: 29 พฤษภาคม 2562 – 31 ธันวาคม 2562
ช่วงนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ ตลาดหุ้นค่อนข้างซึมๆ ดัชนีลดลงจาก 1,619.36 จุด เหลือ 1,579.84 จุด หรือ ลดลง -2.44% ในขณะที่พอร์ตของไอวี่ก็ลดลงจากมาประมาณ -1.29%
ช่วงที่ 2: 31 ธันวาคม 2562 – 18 กุมภาพันธ์ 2563
หลังจากเปิดปีใหม่ก็เริ่มมีข่าวร้ายๆ เข้ามาเรื่อยๆ ค่ะ โดยเฉพาะในช่วงนี้เจ้า Covid-19 เริ่มมีการแพร่ระบาดไปในหลายประเทศแล้ว ทำให้แต่ละประเทศเริ่มมีมาตรการปิดเมือง ห้ามคนเข้าออกจากประเทศ ทำให้การเดินทางระหว่างประเทศหยุดชะงัก
ซึ่งก็เเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศไทยอิงกับการท่องเที่ยวอยู่เยอะ ถ้าหากคนเดินทางมาเที่ยวไม่ได้ ก็จะกระทบกับหลายธุรกิจในประเทศเลย ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ตกลงมาจาก 1,579.84 จุด เหลือ 1,513.68 จุด หรือลดลงมาราวๆ -4.19%
แต่สำหรับพอร์ตไอวี่ช่วงนี้กลับบวกขึ้นมาได้ประมาณ 2.06% อาจจะเพราะหุ้นที่มีอยู่ในพอร์ตไม่ค่อยเกี่ยวกับภาคธุรกิจที่โดนผลกระทบเท่าไหร่ รวมทั้งราคาหุ้นที่ถืออยู่ก็ยังไม่ได้แพงมาก และอีกสักพักก็จะได้เงินปันผลแล้ว ทำให้โดยรวมพอร์ตโตขึ้นมานิดหน่อย
ตอนปลายๆ ของช่วงนี้ เราเริ่มมีผู้ติดเชื้อ Covid-19 ในประเทศไทยมากขึ้น และทางภาครัฐยังไม่มีการประกาศมาตรการที่เด็ดขาดในการยับยั้งโรคไม่ให้แพร่กระจายออกมา
ช่วงที่ 3: 18 กุมภาพันธ์ 2563 – 24 มีนาคม 2563
ตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศและทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลแต่ละประเทศเริ่มออกมาตรการต่างๆ ในการยับยั้งการแพร่กระจายของไวรัส Covid-19 ซึ่งส่วนมากคือ การปิดเมืองและเว้นระยะห่างทางสังคม ให้ทุกคนอยู่บ้าน ไม่ให้ออกไปไหน เพื่อให้สามารถควบคุมจำนวนผู้ป่วยได้โดยเร็ว มีประเทศที่เริ่มควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เช่น จีน เกาหลี ไต้หวัน แต่อีกหลายประเทศกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก คนเริ่มติดเชื้อกันเยอะขึ้น เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ อิตาลี สเปน รวมถึง ประเทศไทยเอง ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ช่วงนี้ตลาดหุ้นมีแต่ข่าวร้ายๆ ทุกวัน มีการคาดการณ์กันไปต่างๆ นานา ถึงหายนะที่อาจจะเกิดขึ้นได้หลังจากนี้ นักลงทุนเริ่มกลัวมากขึ้นทำให้เริ่มขายหุ้นกันออกมา หุ้นก็เริ่มตก คนก็ยิ่งขายมากขึ้น หุ้นก็ยิ่งตกหนักขึ้น กลายเป็นวงจร panic sell ที่สุดท้ายไปกระตุ้นให้เกิดการขายหุ้นทุกราคา ในช่วงนั้นหุ้นตกทุกตัวเลยค่ะ ไม่ว่าจะตัวเล็กตัวใหญ่ จะดีหรือไม่ดีแค่ไหน เป็นการขายทุกราคาจริงๆ ค่ะ
ในระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 30 กว่าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงมาเร็วมากจาก 1,513.68 จุด เหลือเพียง 1,033.84 จุด หรือลดลงมาถึง -31.70% ทางตลาดหลักทรัพย์มีการทำ circuit breaker หรือ พักการซื้อขายไปถึง 3 ครั้งด้วยกันค่ะ นักลงทุนส่วนมากรู้สึกสิ้นหวังและท้อแท้มาก ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอีก
ส่วนพอร์ตของไอวี่เอง ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะช่วงนั้นอย่างที่บอกว่า คนขายหุ้นทุกคนออกมาในทุกราคา ไม่ได้สนใจอะไรเลย ต่อให้หุ้นเราจะดียังไง ราคาก็ร่วงเอาๆ เหมือนกันค่ะ ทำให้ในช่วงเวลาเดียวกันนี้พอร์ตไอวี่ลดลงมาถึง -35.05% เลยค่ะ
แต่หลังจากที่คนทั้งประเทศอยู่ในความไม่มั่นใจ ทางรัฐบาลก็เริ่มออกมาตรการต่างๆ ออกมา เพื่อควบคุมโรคให้ดีขึ้น รวมทั้งการประกาศปิดห้างร้าน โรงเรียน ที่สาธารณะต่างๆ และขอให้ทุกคนพยายามอยู่ที่บ้านกันไม่ออกไปไหนค่ะ ถ้าไอวี่จำได้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณพ่อเริ่มกลับมาทำงานที่บ้านแล้วค่ะ
ช่วงที่ 4: 24 มีนาคม 2563 – 29 พฤษภาคม 2563
หลังจากรัฐบาลทั่วโลกออกมาตรการในการยับยั้งการระบาดของ Covid-19 อย่างจริงจัง ตัวเลขผู้ติดเชื้อก็เริ่มชะลอตัวลง แต่ภาคธุรกิจกำลังจะเริ่มแย่ เพราะผู้คนอยู่แต่ในบ้าน งดการเดินทาง งดการท่องเที่ยว งดการจับจ่ายใช้สอยอะไรที่ไม่จำเป็น จำนวนคนที่ตกงานเริ่มเยอะขึ้นๆ
ทำให้รัฐบาลต้องออกมาประกาศมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐอีกหลายอย่างเพื่ออัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ให้คนมีเงินจับจ่ายใช้สอย ธุรกิจมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะผ่านช่วงเวลาที่ย่ำแย่ตรงนี้ไปให้ได้ ทำให้ความมั่นใจของนักลงทุนกลับคืนมา จึงได้เริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง
ดัชนีตลาดหุ้นไทยจึงวิ่งขึ้นจาก 1,033.84 จุด กลับมาอยู่ที่ 1,342.85 จุด หรือ คิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 29.89% ภายในระยะเวลาราวๆ 2 เดือน ซึ่งถือเป็นการกลับตัววิ่งขึ้นที่เร็วมากเลยทีเดียว
พอร์ตของไอวี่เองก็วิ่งกลับขึ้นมาเช่นเดียวกัน โดยในช่วงนี้พอร์ตไอวี่บวกถึง 33.47% ภายในเวลา 2 เดือนค่ะ ซึ่งก็ทำให้เห็นว่า ถ้าเราเลือกหุ้นที่พื้นฐานดีไว้แล้ว ถ้านักลงทุนกลับมามีเหตุมีผลเหมือนเดิม ราคาหุ้นของเราก็จะกลับขึ้นมาได้เอง โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรค่ะ
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ ที่อธิบายเหตุการณ์แต่ละช่วงเวลาให้หนูฟัง ทำให้หนูเข้าใจขึ้นมากเลยค่ะ ว่าใน 1 ปีที่ผ่านมานี่ มีอะไรเกิดขึ้นในตลาดหุ้นมากมายเลยค่ะ เหมือนเป็นหนังสือเล่มหนึ่งเลยนะคะ”
“ใช่ค่ะ และถ้าไอวี่ลองสมมติตัวเองดูว่า ถ้าไอวี่ไปอยู่ในสถานการณ์แต่ละช่วงเวลาจริงๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นตกหนักๆ ไอวี่จะรู้สึกอย่างไร ไอวี่จะทำอย่างไรบ้าง ก็จะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นค่ะ และจะทำให้เราตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้นในครั้งต่อๆ ไปค่ะ”
“ไอวี่คิดว่า ถ้าไอวี่นั่งดูหุ้นตกทุกวันในช่วงที่ 3 ที่มีแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น ไอวี่ก็คงกลัวมากเหมือนกันค่ะ ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเลย”
“จริงๆ สิ่งที่นักลงทุนควรจะทำเมื่อเกิดวิกฤตก็คือ
- มีสติเอาไว้ก่อนค่ะ ซึ่งเราจะมีสติได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจและรู้จักธรรมชาติของตลาดหุ้นเป็นอย่างดีว่า มีความผันผวน มีอารมณ์ขึ้นลงได้ตลอดเวลา ทำให้เราไม่กลัว และพยายามมองหาโอกาสจากวิกฤตที่เกิดขึ้น
- หลังจากที่เรามีสติแล้ว ก็ให้เราทบทวนหุ้นที่อยู่ในพอร์ตของเราว่า กิจการยังแข็งแรงอยู่มั้ย ตัวไหนโดนกระทบจากวิกฤตมากน้อยแค่ไหน จากนั้นก็อาจจะพิจารณาปรับพอร์ตโดยขายหุ้นที่เรารู้สึกว่าอ่อนแอที่สุด หรือ โดนผลกระทบมากที่สุดออกไป โดยเฉพาะหุ้นที่เราคาดการณ์ไม่ได้ว่า หลังจบวิกฤตแล้ว เค้าจะเสียหายหนักแค่ไหน หรือ จะกลับมาเหมือนเดิมได้หรือเปล่า
- ค่อยๆ อ่านข้อมูลต่างๆ อย่างมีสติ และมองหาโอกาสการลงทุนที่ดีในช่วงวิกฤต โดยเลือกลงทุนในบริษัทที่ได้รับผลกระทบน้อย และเราพอจะคาดการณ์ได้ว่ารายได้และกำไรของบริษัทจะกลับมาโตขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่วิกฤตผ่านพ้นไป
- ค่อยๆ ติดตามสถานการณ์และสิ่งที่เกิดขึ้นกับหุ้นที่อยู่ในพอร์ตเราไปเรื่อยๆ ถ้ากิจการของหุ้นที่เราถืออยู่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ ก็ถือต่อไปได้เรื่อยๆ เดี๋ยวพอวิกฤตผ่านไป ราคาหุ้นก็จะวิ่งกลับมาสูงขึ้นกว่าก่อนเกิดวิกฤตเองค่ะ แต่ถ้าตัวไหนไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ ก็อาจจะพิจารณาขายออกไป แล้วไปลงทุนในหุ้นที่ดีกว่าแทนค่ะ
ซึ่งไอวี่จะเห็นแล้วใช่ไหมคะว่า การที่เราเข้าใจวัฏจักรและอารมณ์ของตลาดหุ้น จะทำให้เรามีทัศนคติที่ถูกต้องในการลงทุน ทำให้เรามีสติ ไม่กลัวราคาหุ้นที่ร่วงเอาๆ และมองหาโอกาสในการลงทุน และ ปรับพอร์ตการลงทุนได้อย่างถูกต้องตามหลักการค่ะ”
“เข้าใจแล้วค่ะคุณพ่อ เดี๋ยวไอวี่จะกลับไปทบทวนเรื่องที่เราคุยกันวันนี้บ่อยๆ นะคะ”
“ได้ค่ะ แต่จริงๆ สำหรับไอวี่ก็จะง่ายกว่านี้เยอะค่ะ เพราะพอร์ตของไอวี่ มี Jitta Wealth คอยดูแลให้ ขอเพียงแค่ไอวี่เข้าใจ เข้าใจตลาดหุ้น และไม่กลัวเวลาเกิดวิกฤต ตามข้อ 1 ที่เหลือข้อ 2 3 4 นั้น ทาง Jitta Wealth คอยจัดการให้ไอวี่แบบอัตโนมัติอยู่แล้วค่ะ ระบบก็จะค่อยๆ ทยอยปรับพอร์ตให้ตามหลักการ ‘ลงทุนในหุ้นดี ราคาถูก’ ไปให้เรื่อยๆ อยู่แล้วค่ะ ไอวี่ก็เอาเวลาไปเรียนหนังสือ หรือ ไปเล่นต่อเลโก้ที่ชอบได้เลยค่ะ”
“เดี๋ยวไว้ครั้งหน้า ตอนเกิดวิกฤตอีก หนูขอไปทุบกระปุกออมสิน เพื่อเอาเงินมาลงทุนเพิ่มด้วยนะคะ คุณพ่อ” ไอวี่พูดอย่างมั่นใจ
“ได้เลยค่ะ ไอวี่ งั้นตอนนี้หนูก็ต้องรีบเก็บเงินให้เยอะๆ นะคะ วิกฤตครั้งหน้าจะได้ลงทุนเพิ่มได้เยอะๆ เลยค่ะ” คุณพ่อตอบด้วยรอยยิ้ม
การที่เราเข้าใจวัฏจักรและอารมณ์ของตลาดหุ้น จะทำให้เรามีทัศนคติที่ถูกต้องในการลงทุน มีสติ ไม่กลัวราคาหุ้นที่ร่วงเอาๆ มองหาโอกาสในการลงทุน และปรับพอร์ตการลงทุนได้อย่างถูกต้องตามหลักการ
โดยสรุปแล้ว ปีที่ผ่านมาก็เป็นปีหนึ่งที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงมากๆ ค่ะ แต่ถ้ามองในภาพรวมแล้ว ตลาดหุ้นติดลบไป -17.08% ก็ถือว่ายังไม่ได้ร้ายแรงมากเท่าไหร่ค่ะ อาจจะเป็นเพราะคนมองว่าวิกฤตครั้งนี้เป็นเรื่องชั่วคราว ถ้ามีวัคซีนเมื่อไหร่ ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปรกติได้ค่ะ
แต่จริงๆ คุณพ่อก็ยังรู้สึกว่าตลาดหุ้นวิ่งกลับมาเร็วไปหน่อยค่ะ เพราะหลังจากนี้อาจจะมีผลกระทบแย่ๆ ตามมาในภาคธุรกิจจริงๆ อีกก็ได้ เราก็ต้องรอดูและปรับตัวไปตามสถานการณ์ค่ะ
ส่วนพอร์ตไอวี่ติดลบไปเพียงแค่ -12.73% ก็ถือว่าไม่ได้แย่มาก เป็นผลตอบแทนในเกณฑ์ที่รับได้อยู่เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าหุ้นที่เลือกลงทุนในพอร์ตค่อนข้างที่จะแข็งแกร่ง ทำให้สามารถผ่านวิกฤตมาได้โดยไม่เสียหายมาก หลังจากนี้ก็น่าจะค่อยๆ ปรับพอร์ตตามหลักการไปเรื่อยๆ ไม่ต้องกังวลใจอะไรค่ะ
ผลตอบแทนรวมพอร์ตน้องไอวี่
“เอาล่ะ เราดูผลตอบแทนของปีนี้กันไปแล้ว ต่อไปเรามาดูผลตอบแทนรวมตั้งแต่ที่ไอวี่ลงทุนมา และผลตอบแทนทบต้นกันดีกว่าค่ะ ไอวี่จำได้ใช่ไหมคะว่า คืออะไร”
“จำได้ค่ะ ผลตอบแทนรวมคือ ผลตอบแทนที่ทำได้ทั้งหมดโดยไม่คำนึงถึงระยะเวลา แต่ผลตอบแทนทบต้นจะนำเวลามาคิดด้วยเพื่อให้เห็นว่า เราทำผลตอบแทนได้เท่าไหร่ต่อปีค่ะ” ไอวี่ตอบได้ทันที เพราะเพิ่งไปอ่านทบทวนเรื่องนี้มาเมื่อวานค่ะ
“โอเค ถ้าจำได้ งั้นคุณพ่อสรุปเร็วๆ ให้ฟังเลยนะคะ
ไอวี่เริ่มลงทุนครั้งแรกวันที่ 29 พฤษภาคม 2560 จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาทั้งหมด 3 ปีแล้วค่ะ โดยมีผลตอบแทนแต่ละปีตามนี้ค่ะ
ผลตอบแทน 3 ปีล่าสุด พอร์ตไอวี่
ปีที่ 1 +20.18%
ปีที่ 2 -9.97%
ปีที่ 3 -12.87%
เงินลงทุนเริ่มต้น 1,000,000 บาท
มูลค่าพอร์ต ณ สิ้นปีที่ 3 944,688 บาท
เงินลงทุนเริ่มต้นอยู่ที่ 1 ล้านบาท ปัจจุบันลดลงเหลือ 944,688 บาท เท่ากับผลตอบแทนรวมอยู่ที่ -5.53% ค่ะ เมื่อคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นแล้วอยู่ที่ -1.88% ต่อปีค่ะ
จะเห็นได้ว่า ไอวี่ได้กำไรในปีแรก แต่ปีที่ 2 และ 3 ขาดทุนหนัก พอคิดผลตอบแทนโดยรวมออกมาแล้วจะขาดทุน แต่ก็ไม่ได้แย่อะไร โดยเฉพาะถ้ารู้ว่าเราได้ผ่านปีที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในปีที่แย่มากในรอบ 10 ปีมาแล้วค่ะ
ตามสถิติที่เราเคยเรียนรู้กันไปแล้ว ใน 10 ปี ก็จะมีปีที่ตลาดหุ้นขึ้นราวๆ 7 ปี ลงประมาณ 3 ปีอยู่แล้ว นี่เราผ่านปีที่ตลาดหุ้นลงมาแล้ว 2 ปี เท่ากับในปีต่อๆ ไปเราน่าจะมีโอกาสได้กำไรมากกว่าขาดทุนแล้วค่ะ
ตลาดหุ้นเป็นเกมที่แข่งกันในระยะยาวค่ะ ขอให้เราเอาตัวรอดในปีที่แย่ๆ ไปได้ ผลตอบแทนในปีที่ตลาดหุ้นดีๆ จะทำให้พอร์ตเราเติบโตได้เองค่ะ ตอนนี้ไอวี่ผ่านปีหนักๆ มาได้แล้ว และ โดยรวมพอร์ตก็ไม่ได้เสียหายมาก แสดงให้เห็นว่า หลักการลงทุนที่ผ่านมาถูกต้องแล้วค่ะ ที่เหลือก็แค่ลงทุนตามหลักการต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ
ตามสถิติ 10 ปี ก็จะมีปีที่ตลาดหุ้นขึ้น 7 ปี ลง 3 ปี เราผ่านปีที่ตลาดหุ้นลงมาแล้ว 2 ปี โดยรวมพอร์ตไม่ได้เสียหายมาก แสดงว่าหลักการลงทุนที่ผ่านมาถูกต้องแล้ว ในปีต่อๆ ไปเราน่าจะมีโอกาสได้กำไรมากกว่าขาดทุน ขอแค่ลงทุนตามหลักการต่อไปเรื่อยๆ ผลตอบแทนในปีที่ตลาดหุ้นดีๆ จะทำให้พอร์ตเราเติบโตได้เอง
ที่สำคัญ ไอวี่เห็นแล้วใช่ไหมคะว่า ถ้าหลักการเลือกหุ้นและการกระจายความเสี่ยงของเราทำไว้ดีแล้ว ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เราแทบไม่จำเป็นต้องซื้อๆ ขายๆ หุ้นบ่อยๆ เลยค่ะ พอร์ตเราก็จะเอาตัวรอดและกลับมาเติบโตได้เองค่ะ คุณพ่อคิดว่า หลายคนที่ลงทุนในตลาดหุ้นช่วงเวลาเดียวกันไอวี่ น่าจะหัวหมุนกันเลยในปีที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนที่สูงมาก และหลายๆ คนก็อาจจะทำผลตอบแทนได้แย่กว่าไอวี่ที่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ”
“จริงค่ะ แม้ปีนี้พอร์ตหนูจะขาดทุนเยอะ แต่หนูกลับรู้สึกเชื่อมั่นมากขึ้นนะคะว่า หลักการลงทุนที่ทำอยู่นี้ถูกต้องแล้ว เป็นหลักการที่จะทำให้พอร์ตของหนูผ่านวิกฤตต่างๆ และ เติบโตขึ้นได้เรื่อยๆ ในระยะยาวค่ะ ผ่านปีนี้ไปแล้ว ปีอื่นๆ ก็คงไม่น่ากลัวเท่าไหร่แล้วค่ะ”
“ใช่ค่ะ แต่ก็อย่าประมาทนะคะ ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นปีที่ตลาดติดลบมากกว่านี้อีกก็เป็นได้ค่ะ แต่ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น คุณพ่อเชื่อว่าด้วยหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ก็จะทำให้พอร์ตของเราเราเอาตัวรอดและเติบโตต่อไปได้เสมอค่ะ”
“ค่ะ คุณพ่อ”
“เอาล่ะ ต่อไปเรามาลองดูผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาเดียวกันบ้างนะคะ ใน 3 ปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทย ทำผลตอบแทนได้ตามนี้ค่ะ
ผลตอบแทน 3 ปีล่าสุด SET Index
ปีที่ 1 +10.61%
ปีที่ 2 -6.64%
ปีที่ 3 -17.08%
ผลตอบแทนรวม -14.37%
ผลตอบแทนทบต้นต่อปี -5.04%
แต่ทั้งนี้การเทียบผลตอบแทนกับดัชนีตลาดหุ้นไทยหรือ SET index ที่ไอวี่เห็นนี้ เป็นการเปรียบเทียบแบบง่ายๆ เพราะในความเป็นจริงแล้วดัชนี SET index นั้นไม่ได้รวมปันผลเข้ามาคิดในดัชนี ในขณะที่พอร์ตของไอวี่นั้นมีการรวมปันผลและหักค่าธรรมเนียมต่างๆในการบริหารกองทุนเข้าไปด้วย
ดังนั้นเพื่อจะเทียบให้ถูกต้องมากขึ้น เราต้องนำผลตอบแทนไปเทียบกับกองทุนดัชนีที่ลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นไทย ที่มีการรวมปันผลและคิดค่าธรรมเนียมต่างๆแล้วค่ะว่าเป็นยังไง ซึ่งในที่นี้คุณพ่อก็ขอนำผลตอบแทนของกองทุนดัชนีตลาดหุ้นไทยแบบรวมปันผลหรือ SET TRI มาเทียบให้ดูด้วยนะคะ
ผลตอบแทน 3 ปีล่าสุด SET TRI
ปีที่ 1 +13.07%
ปีที่ 2 -3.66%
ปีที่ 3 -14.82%
ผลตอบแทนรวม -7.21%
ผลตอบแทนทบต้นต่อปี -2.46%
ตามสถิติแล้วแล้วนักลงทุนส่วนใหญ่ จะทำผลตอบแทนได้น้อยกว่าผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นการที่พอร์ตของไอวี่มีผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 3 ปีแรก ก็ถือว่าสอบผ่านแล้วนะคะ
และอย่างที่คุณพ่อเคยพูดไปแล้วนะคะ เวลาวัดผลตอบแทนการลงทุนเราต้องดูกันไปหลายๆ ปีค่ะ เพราะแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบ แต่ในระยะยาวแล้ว ตลาดหุ้นก็ยังคงจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดค่ะ โดยเฉลี่ยทุกๆ 10 ปี ตลาดหุ้นจะขึ้นประมาณ 7 ปี ลงประมาณ 3 ปี ตอนนี้ตลาดหุ้นลดลงติดต่อกัน 2 ปีแล้ว ทำให้ในปีต่อๆ ไปน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีในการลงทุนแล้วค่ะ เราคอยดูกันต่อไปนะคะ
“ค่ะคุณพ่อ เดี๋ยวคืนนี้หนูจะกลับไปอ่านบทความเก่าๆ ของคุณพ่ออีกรอบให้ขึ้นใจนะคะว่า ตลาดหุ้นในระยะยาว จะมีขึ้นมีลงกี่ปี ยังไงบ้างค่ะ จะได้มาเตรียมพร้อมลงทุนในปีต่อๆ ไปค่ะ”
“ได้ค่ะสาวน้อย ลูกรักของพ่อ ไม่ว่าเราจะเรียนรู้เรื่องอะไรก็ตาม พยายามศึกษาแก่นแท้หรือหลักการที่สำคัญที่สุดของศาสตร์นั้นๆ จากนั้นก็หมั่นทบทวนให้ขึ้นใจ รวมทั้งปฏิบัติให้เป็นปรกติ เราก็จะทำสิ่งนั้นได้โดยธรรมชาติเองค่ะ การลงทุนก็เช่นกันนะคะ มีหลักสำคัญๆ อยู่ไม่กี่อย่าง ขอให้เราเข้าใจและตัดสินใจอย่างถูกต้องตามหลักการไปเรื่อยๆ พอร์ตเราก็จะเติบโตไปเองค่ะ”
“คุณพ่อคิดว่า วันนี้เราพอแค่นี้กันดีกว่านะคะ เพราะตอนนี้ก็มืดแล้ว เดี๋ยวไอวี่ต้องไปอาบน้ำ เตรียมเข้านอนแล้วค่ะ ก่อนนอนก็อย่าลืมทบทวนสิ่งที่เราคุยกันไปวันนี้นะคะ จะได้จำได้ขึ้นใจ”
“ได้ค่ะคุณพ่อ” จริงๆ ไอวี่ยังอยากให้คุณพ่อเล่าอะไรให้ฟังอีกหลายเรื่องเลยนะคะ แต่ที่ได้ฟังมาวันนี้ก็เยอะมากจนหัวหมุนแล้วค่ะ ที่เหลือค่อยเก็บไว้ถามวันหลังดีกว่า วันนี้หนูรีบไปนอนพักแล้วดีกว่าค่ะ
5 แง่คิดการลงทุนจากคุณพ่อ
- ตลาดหุ้นมีวงจรซ้ำเติมความแย่ในช่วงวิกฤต พอคนเริ่มตกใจขายหุ้น ก็จะทำให้หุ้นตก คนก็จะยิ่งกลัว และยิ่งขายหุ้นมากขึ้น ทำให้หุ้นตกลงไปมากกว่าเดิม และ สุดท้ายเมื่อคนกลัวถึงขีดสุด ก็จะทำให้เกิดการขายหุ้นทุกราคาได้เลย
- การเข้าใจวัฏจักรและอารมณ์ของคนในตลาดหุ้น จะทำให้เรารู้ว่าตอนที่นักลงทุนกลัวที่สุด คือ ตอนที่น่าลงทุนที่สุด เมื่อรู้แล้วเราจะไม่กลัววิกฤต และมองเป็นโอกาสในการลงทุน
- การลงทุนหลังวิกฤตให้ผลตอบแทนดีที่สุด แต่ปัญหาคือ เราไม่สามารถบอกได้ว่า วิกฤตจะเกิดขึ้นตอนไหนและจะจบลงเมื่อไหร่ ดังนั้นสิ่งที่ควรจะทำคือ ลงทุนไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ
- การลงทุนไปเรื่อยๆ ผ่านวิกฤต ในระยะยาวเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า การขายหุ้นช่วงวิกฤตแล้วกลับมาซื้อหุ้นใหม่ เพื่อวิกฤตผ่านไปแล้ว
- เวลาเกิดวิกฤตให้มีสติ และปรับพอร์ตไปตามความเหมาะสม ตามข้อมูลที่เราศึกษามา ไม่ใช่ปรับตามราคาหุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ ตามอารมณ์ของตลาด
วันนี้ก่อนจะหลับไป หนูคิดอะไรขึ้นมาได้อีกอย่างหนึ่ง หนูเลยถามคุณพ่อไปว่า “คุณพ่อคะ ใน 10 ปีมีปีที่ตลาดหุ้นตกหนักๆ สัก 2-3 ปีใช่ไหมคะ แสดงว่า ไอวี่จะได้หยุดเรียนมาเล่นอยู่ที่บ้านแบบนี้อีกใช่ไหมคะ”
“ตลาดหุ้นตกกับโรงเรียนปิด มันไม่จำเป็นต้องมาด้วยกันเสมอค่ะ ปีนี้แค่บังเอิญมาเจอกันพอดีด้วยเหตุการณ์ Covid-19 ค่ะ บางครั้งการที่เราเชื่อตัวเลขมากเกินไปโดยไม่ตรวจสอบและวิเคราะห์ให้ดี ก็อาจจะทำให้เราเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างผิดไปได้นะคะ เวลาเราวิเคราะห์อะไร ถึงต้องพยายามมองในหลายๆ มิติค่ะ”
“เดี๋ยวพอเหตุการณ์ Covid-19 จบลง ไอวี่ก็ต้องกลับไปโรงเรียนแล้วนะคะ แต่ขอให้จำไว้ว่า ในประวัติศาสตร์มนุษย์เราผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง ผ่านเรื่องราวแย่ๆ มามากมาย แต่ทุกครั้งเราก็จะหาทางแก้ปัญหาได้เสมอ ตลาดหุ้นก็เช่นกันค่ะ ที่ผ่านวิกฤตมาหลายต่อหลายครั้ง และทุกครั้งที่ผ่านมาได้ ตลาดหุ้นก็จะกลับมาเติบโตเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมเสมอค่ะ สิ่งที่คุณพ่อท่องเอาไว้เสมอเวลาเจอเรื่องแย่ๆ ก็คือ ‘This too, shall pass’ หรือแปลว่า แล้วมันก็จะผ่านไปค่ะ หลับฝันดีนะคะไอวี่ คุณพ่อรักหนูมากนะคะ”
“หนูก็รักคุณพ่อมากเท่าฟ้าเลยค่ะ ไอวี่นอนแล้วนะคะ กู้ดไนท์ค่ะ” แล้วไอวี่ก็หลับไปทันที
— วีไอ Ivy