ปี 2019 แม้ว่าตลาดไทยเปิดกับปิดปีแทบจะเท่ากัน (+2.26%)… แต่คุณรู้ไหมว่าท่ามกลางฟ้าสลัว ยังมีหุ้นดีที่เปล่งประกาย สร้างรายได้และกำไรเติบโตได้เป็น 100% Jitta จึงสรุปหุ้นแกร่งที่โดดเด่นในมิติต่างๆ มาให้ครับ
สรุป
- เมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานใน 4 มิติใหญ่ๆ ได้แก่ โอกาสการเติบโต ความแข็งแกร่งทางการเงิน การสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น และความสามารถในการแข่งขัน พบว่าตลาดหุ้นไทยยังมีบริษัทที่ปัจจัยเหล่านี้โดดเด่น แต่ราคาอาจจะขาดทุน หรือกำไรไม่มากนักในปีที่ผ่านมา
- Growth Opportunity หรือ โอกาสในการเติบโต ดูจากอัตราการเติบโตของรายได้ กำไรสุทธิ EBITDA และ EPS เป็นต้น จากข้อมูลปีที่แล้วทำให้เราเห็นว่า หุ้นที่มีรายได้สูงมากๆ อาจจะไม่ได้มีกำไรสูงมากตามไปด้วย ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุน
- Financial Strength หรือ ความมั่นคงทางการเงิน เปรียบเสมือรากฐานของธุรกิจ หากรากฐานหยั่งลึกแข็งแรง ธุรกิจมีสภาพคล่องและกระแสเงินสดไม่ขาดมือ ก็ยากที่จะล้ม ซึ่งในภาวะตลาดไร้ทิศทางปีที่แล้ว ราคาของหุ้นที่มีคะแนน Jitta Factors: Financial Strength สูง 10 อันดับแรก ต่างปรับตัวขึ้นเหมือนๆ กัน
- Return to Shareholders หรือ ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น คือมาตรวัดนโยบายบริหารว่าคำนึงถึงผู้ถือหุ้นมากน้อยแค่ไหน สามารถนำเงินนักลงทุนไปต่อยอดเพิ่มมูลค่ามากขึ้นได้หรือไม่ จากข้อมูลปีที่แล้วพบว่า หุ้นที่ได้คะแนน Jitta Factors: Return to Shareholders สูงสุด 10 อันดับแรก ให้เงินปันผลเฉลี่ยสูงกว่าหุ้น 10 อันดับแรกของ Jitta Factors อื่นๆ ประมาณ 0.5-1%
- Competitive Advantage หรือ ความสามารถในการแข่งขัน จะดูข้อมูลที่เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรายได้ กำไร กระแสเงินสด การควบคุมต้นทุน economies of scale บริษัทไหนใช้หนี้สินน้อยกว่าในการสร้างกำไรที่เท่ากัน เป็นต้น ซึ่งปีที่ผ่านมา หุ้นที่ได้คะแนน Jitta Factors: Competitive Advantage สูงที่สุดมี 4 หุ้นที่ให้ปันผลเกิน 5% และ 3 ใน 4 หุ้นนั้นขาดทุน
- หุ้นที่ได้คะแนน Jitta Score เฉลี่ยสูงที่สุด 10 อันดับ ได้กำไรอยู่ 8 ตัวในขณะที่อีก 2 ตัวขาดทุน ชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้นไม่ได้มีเหตุผลตลอดเวลา โดยเฉพาะในระยะสั้นราคาหุ้นมักคาดเดาไม่ได้ ผันผวนตามข่าวสารและอารมณ์ของตลาด แต่สุดท้ายแล้วหากบริษัทสามารถทำผลงานดีแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ นักลงทุนก็จะมองเห็นคุณค่าและเข้ามาลงทุน ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นในระยะยาว
จังหวะนี้ ใครๆ ก็สงสัยครับว่าตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่
หลังจากปีที่แล้ว ตลาดหุ้นไทยทำผลงานได้ไม่ค่อยสวยงามนักเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ซึ่งรวมถึงตลาดที่มีข่าวปั่นป่วนชุลมุนตลอดทั้งปีอย่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฮ่องกง ที่ดัชนียังคงพุ่งสูงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในขณะที่ประเทศไทยเปิดกับปิดปีแทบจะเท่ากัน (+2.26%)…
หลายคนเข้าใจว่า บริษัทจดทะเบียนไทยไม่ค่อยเติบโตแล้ว เพราะเศรษฐกิจฝืดเคือง ธุรกิจต่างๆ ก็เลยร่อแร่ตามไปด้วย
แต่ในฐานะนักลงทุนระยะยาว ที่พิจารณาหุ้นจากพื้นฐานและมูลค่าที่เหมาะสมของธุรกิจ มากกว่าราคาที่เคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ โดยมีงบการเงินหรือ Jitta FactSheet เป็นผู้ช่วยสำคัญ
ทำให้เราได้ทราบในสิ่งที่คนอื่นๆ ในตลาดหุ้นอาจจะยังไม่ทราบกันครับ…
นั่นก็คือความจริงที่ว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีอีกหลายบริษัทที่มีพื้นฐานดี สร้างรายได้และกำไรเติบโตได้เป็น 100% หนี้สินน้อย กระแสเงินสดเป็นบวก เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ต่อเนื่อง และคืนกำไรให้นักลงทุนสม่ำเสมอ
หุ้นที่ว่านี้มีอะไรบ้าง หาได้จากไหน ต้องดูตัวเลขอะไร Jitta สรุปไฮไลท์ของปี 2019 มาให้คุณแล้ว
เราเรียบเรียงข้อมูลหุ้นโดยดูจาก 4 มิติหลักๆ ได้แก่ การเติบโต สถานะทางการเงิน ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น และความสามารถในการแข่งขัน
มาดูกันครับว่าปีที่แล้วมีหุ้นอะไรที่โดดเด่นในด้านต่างๆ เหล่านี้บ้าง
หมายเหตุ
หุ้นที่เรารวมรวบมาไว้ในบทความ เป็นหุ้นที่ผ่านการคัดกรองแล้วในระดับหนึ่ง คือเป็นหุ้นที่ Jitta Score เฉลี่ยของปี 2019 มากกว่าหรือเท่ากับ 5 ซึ่งมีทั้งหมด 132 บริษัท สำหรับคะแนน Jitta Score และคะแนน Jitta Factors ของหุ้นแต่ละตัวที่นำมาจัดอันดับ จะเป็นคะแนนเฉลี่ยของทั้งปี 2019 หากคะแนนเท่ากัน จะเรียงลำดับจากหุ้นทีราคาปีที่แล้วเติบโตสูงสุด ไปหาหุ้นที่ราคาเติบโตน้อยที่สุดครับ
ซึ่งตัวเลขและอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ เป็นข้อมูลในรอบ 12 เดือนล่าสุด (trailing twelve months หรือ TTM) ที่ดึงมาจาก S&P Global Market Intelligence นำเสนอเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนเท่านั้น มิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ
REVENUE GROWTH
10 บริษัทที่รายได้เติบโตสูงสุด
การเติบโตของรายได้เป็นสิ่งแรกๆ ที่นักลงทุนทุกคนต้องดูครับ ธุรกิจจะไปต่อได้ รายได้ก็ควรจะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ
แต่ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปนะครับ!
ธุรกิจที่รายได้เพิ่มขึ้นก็อาจจะไม่ใช่ธุรกิจที่ดีเสมอไป ต้องดูกันลงลึกอีกทีครับว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากไหน เป็นเพราะลงทุนเพิ่ม หรืออัดเม็ดเงินโฆษณา เพื่อให้ได้มาซึ่งยอดขายหรือเปล่า และมันคุ้มค่าหรือไม่ครับ
EBITDA GROWTH
10 บริษัทที่กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าใช้จ่าย เติบโตสูงสุด
จะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทเพิ่มรายได้ได้อย่างยั่งยืนหรือเปล่า EBITDA ก็มีประโยชน์ครับ
EBITDA คือรายได้ที่หักต้นทุนการผลิตและบริหารจัดการออกแล้ว แต่ยังไม่ได้หักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา (depreciation) และค่าตัดจำหน่าย (amortization) ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นกำไรเบื้องต้นของบริษัทครับว่าเป็นเท่าไหร่
คุณจะเห็นชัดเลยครับว่ารายได้เติบโตไม่ได้หมายความว่ากำไร EBITDA จะเติบโตไปด้วย อย่างกรณีของ BFIT ที่ติดอันดับหนึ่งในการเติบโตเชิงรายได้ แต่หลุดโผไปเลยเมื่อมาดูตัวเลข EBITDA เพราะบริษัทเพิ่มรายได้ได้จริง แต่บริหารต้นทุนได้ไม่ดีพอนั่นเองครับ
NET INCOME GROWTH
10 บริษัทที่กำไรสุทธิเติบโตสูงสุด
ดูรายได้โดยรวม และกำไร EBITDA ไปแล้ว ก็ต้องมาดูกันครับว่า หลังหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าใช้จ่ายไปแล้ว กำไรสุทธิเหลืออยู่เท่าไหร่
บางบริษัทกู้เงินมาเพิ่ม ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่เป็นดอกเบี้ยเยอะขึ้น ดูจาก EBITDA แล้วอาจจะมองไม่เห็น หรือมีค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายสูงมากๆ จนกำไรจริงๆ เหลืออยู่นิดเดียว ต้องมาดูกำไรสุทธิควบคู่กันไปครับ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของปีที่แล้วคือ CBG ที่รายได้อาจจะไม่ได้เติบโตสูงขนาดติด 1 ใน 10 แต่ EBITDA และกำไรสุทธิกลับเติบโตเป็นอันดับ 1 เลยครับ แสดงว่า ต่อให้ขายของได้ไม่มากเท่าคนอื่นๆ แต่บริหาร
ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ดีกว่า ทำให้กำไรเติบโตมากกว่านั่นเองครับ
EPS GROWTH
10 บริษัทที่อัตรากำไรต่อหุ้นเติบโตสูงสุด
กำไรต่อหุ้น หรือ earnings per share (EPS) คือกำไรสุทธิของบริษัทต่อหุ้น 1 หุ้น บ่งบอกมูลค่าของหุ้นที่คุณถืออยู่ครับว่าดีไม่ดีอย่างไร ขึ้นชื่อว่าเป็นกำไรแล้ว ก็ควรจะเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอทุกปี เพิ่มมูลค่าให้เงินลงทุนของคุณเรื่อยๆ นั่นเองครับ
ข้อควรระวังของ EPS ก็คือ ถ้าบริษัทซื้อหุ้นคืน ก็อาจจะทำให้ EPS สูงขึ้นได้โดยที่กำไรของบริษัทไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่รายชื่อหุ้นที่เราลิสต์มาให้นี้ ไม่มีการซื้อหุ้นคืนนะครับ ดังนั้น EPS ที่เพิ่มขึ้นจึงมาจากกำไรแท้ๆ ครับ
JITTA FACTOR: GROWTH OPPORTUNITY
10 บริษัทที่คะแนน Jitta Factor: Growth Opportunity เพิ่มขึ้นสูงสุด
Jitta Factor: Growth Opportunity จะแสดงถึงภาพรวมของหุ้นแต่ละตัวครับว่า มีศักยภาพในการเติบโตมากน้อยแค่ไหน โดยดูจากผลประกอบการที่ผ่านมา 10 ปีว่าแนวโน้มเป็นอย่างไร และให้เป็นคะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 100 ถ้าคะแนนเต็มร้อย ก็แสดงว่าหุ้นตัวนั้นอยู่ในช่วงที่กำลังเติบโตได้ดีกว่าคู่แข่งครับ
ส่วนบริษัทไหนที่โตมาเยอะแล้ว แนวโน้มการเติบโตชะลอลง Growth Opportunity ก็จะลดลงไปด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทย่ำแย่เสมอไปนะครับ
ซึ่ง Growth Opportunity นี้ไม่ได้คำนวณจากรายได้ EBITDA กำไรสุทธิ หรือ EPS เท่านั้น แต่ดูปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของสินทรัพย์และเงินปันผล มีการเปรียบเทียบค่าที่มีกับหุ้นอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย แทนที่คุณจะไปเริ่มต้นอ่านงบ Jitta FactSheet ทันที มาดู Jitta Factor ตัวนี้ก่อน จะช่วยประหยัดเวลา เพราะคุณจะเห็นเลยครับว่าหุ้นแต่ละตัวนั้นมีโอกาสเติบโตเป็นอย่างไรบ้าง
ที่น่าสนใจก็คือ ในปีที่ผ่านมา หุ้นที่คะแนน Growth Opportunity เต็มร้อย แถมปันผลค่อนข้างสูงอย่าง THANI และ TPIPP ราคากลับวิ่งสวนทาง ตกลงมาพอสมควร ถ้ามองแบบนักลงทุนหุ้นพื้นฐานแล้ว นี่น่าจะเป็นสองกรณีที่ “น่าพิศวง” ควรค่าแก่การวิเคราะห์เจาะลึกต่อไปครับ
อ่านต่อ