by Thatree Homsirikamol
วันที่ 20 ม.ค. 2563 • อัปเดตล่าสุดเมื่อ: วันที่ 24 ม.ค. 2563
ไฮไลท์ 10 อันดับหุ้นพื้นฐานเด่น 2019 พร้อมแนวทางล้วงหาหุ้นแกร่งลงทุนปี 2020 (Part 3)

PRICE TO EARNINGS RATIO
10 อันดับบริษัทที่อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่ำที่สุด

ความคุ้มค่าของนักช้อป คือการได้ซื้อของดีราคาถูก ความคุ้มค่าของนักลงทุน ก็คือการได้ซื้อหุ้นดีราคาถูกเช่นเดียวกันครับ 

อัตราส่วนราคาต่อกำไร (price to earnings ratio หรือ P/E) ตัวนี้จะบอกคุณว่า ราคาหุ้นเป็นกี่เท่าของกำไรที่บริษัทสร้างได้ ซึ่งส่งผลถึงระยะเวลาที่ต้องใช้ในการคืนทุนของคุณเองด้วย เช่น บริษัทมี P/E 10 เท่า หมายความว่า ณ ราคาหุ้น 10 บาท บริษัททำกำไรได้ 1 บาท ถ้าบริษัทยังคงสถิติการกำไรปีละ 1 บาทไปเรื่อยๆ ในปีที่ 10 คุณจะได้เงินกลับคืนมา 10 บาท หรือคืนทุนนั่นเอง

หากคุณซื้อหุ้นที่ราคาถูก โอกาสที่คุณจะทำกำไรก็มากกว่าคนที่ซื้อหุ้นราคาแพง ตามมาด้วยความเสี่ยงขาดทุนที่ลดลง เพราะใช้เวลาคืนทุนเร็วกว่า

แต่ถ้าถามว่า P/E ที่ดีควรจะเป็นเท่าไหร่ ต้องบอกว่าไม่มีใครตอบได้แน่นอนครับ เพราะขึ้นอยู่กับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม และค่า P/E ในอดีตของบริษัทเองด้วย อย่างตลาดหุ้น SET ค่า P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 23 ถ้าคุณซื้อหุ้นที่ P/E ต่ำกว่า 23 คุณก็อาจจะมองว่าเป็นมูลค่าที่ยอมรับได้

หรือเมื่อเปรียบเทียบค่า P/E ในอดีตกับปัจจุบันของธุรกิจแล้วผลออกมาว่า P/E สูงกว่าปกติหรือเพิ่มขึ้น เป็นไปได้ว่า มีคนกำลังแห่ซื้อหุ้นตามข่าว ทำให้ราคาพุ่ง แต่กำไรที่ทำได้ยังเหมือนเดิม หรือหุ้นกำลังเติบโต มีกำไรเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้คนสนใจซื้อเพิ่มขึ้น

P/E Ratio ต่ำกว่าปกติหรือลดลง เป็นไปได้ว่า คุณได้ค้นพบหุ้นดีราคาถูก! แต่ก็ต้องสังเกตดีๆ เพราะบางบริษัททำกำไรเพิ่มลดไม่แน่นอน พอกำไรเพิ่มขึ้นแต่ละที P/E ก็ลดลง ดูเป็นหุ้นดีราคาถูกได้ เช่น หุ้นก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ครับ

PEG RATIO
10 อันดับบริษัทที่ P/E เทียบกับอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่ำที่สุด

สำหรับคนที่ชอบหุ้นเติบโตต้องมองอัตราส่วนตัวนี้ครับ เพราะ PEG หรือ Price/Earnings-to-Growth คืออัตราส่วนที่ดู P/E เปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัทอีกที เพื่อหาคำตอบว่า P/E ของธุรกิจสมเหตุสมผลกับอัตราการเติบโตของธุรกิจมั้ย

ตัวนี้มีประโยชน์มากๆ เวลาที่คุณเจอหุ้นที่ P/E สูงๆ แต่บริษัทก็ดูมีแนวโน้มทำกำไรเติบโตต่อเนื่อง เกิดคำถามว่า แล้วกำไรจะโตทันราคาหุ้นที่ดูแพงนั้นหรือไม่ ถ้ากำไรโตกว่า P/E มาก จากที่คิดว่าจะคืนทุนใน 10 ปี ก็อาจจะเหลือแค่ 8 ปี หรือ 5 ปี แล้วแต่อัตราการเติบโตของธุรกิจ ดังนั้น คุณก็ซื้อหุ้นในราคาที่แพงขึ้นมาหน่อยได้ครับ 

เวลาดูค่านี้ จึงควรดูหุ้นที่ PEG 0-0.9 ไม่เกิน 1 ครับ เพราะถ้าเกิน 1 เท่า หมายความว่า P/E สูงกว่าอัตราการเติบโตของบริษัท ถือว่าเป็นหุ้นแพง เหมือนลงทุนกับความคาดหวังมากกว่าความเป็นจริงครับ 

จะเห็นได้ว่าปีที่แล้ว หุ้นที่อัตราการเติบโตสูงกว่า P/E หรืออัตราส่วน PEG ต่ำมากๆ อย่าง JKN FLOYD และ THANI เจ้าเก่า กลับราคาลดลงพอสมควร น่าเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมครับว่าเป็นเพราะอะไร และเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจหรือไม่

DIVIDEND YIELD
10 อันดับบริษัทที่อัตราเงินปันผลตอบแทนสูงที่สุด

เป็นนักลงทุนเน้นคุณค่าทั้งที่ จะมองข้ามเงินปันผลไปได้ยังไง

แน่นอนว่าเราลงทุนระยะยาว ก็ต้องมอง capital gain หรือส่วนต่างราคาหุ้นเป็นสำคัญอยู่แล้ว แต่การลงทุนระยะยาวก็มีความเสี่ยงในเรื่องของเวลาที่คุณต้องแบกรับ ถ้าระหว่างทางบริษัทสามารถจ่ายปันผลมาให้คุณได้อย่างสม่ำเสมอ ก็เหมือนช่วยลดความเสี่ยงขาดทุนไประดับหนึ่ง

Dividend yield คือตัวชี้วัดตัวหนึ่งที่คุณสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจได้ มันจะบอกคุณว่า หากคุณซื้อหุ้นที่ราคาหนึ่ง คุณจะได้รับเงินปันผลคิดเป็นสัดส่วนเท่าใดของราคาที่คุณจ่ายไป เช่น dividend yield 10% หมายความว่า บริษัทจ่ายเงินปันผลให้คุณ 10% ของราคาที่คุณซื้อ 

ถ้าจ่ายแบบนี้ได้ติดต่อกัน 10 ปีได้ คุณก็คืนทุนแล้วโดยที่ยังไม่ต้องพูดถึง capital gain เลยครับ!

แต่…ก็อย่าลืมว่า บริษัทที่มี dividend yield สูงๆ อาจจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างอิ่มตัว ไม่ค่อยนำเงินไปลงทุนต่อยอดธุรกิจเพิ่มเติม ทำให้ผลตอบแทนจาก capital gain หรือการเพิ่มขึ้นของราคาไม่ค่อยมี เหมาะกับคนที่อยากได้ passive income เป็นเงินปันผลทุกไตรมาส หรือทุกปี โดยไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงสูงๆ ครับ

RETURN ON EQUITY (ROE)
10 อันดับบริษัทที่อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นสูงที่สุด

ถ้าคุณอยากรู้ว่าผู้บริหารเอาเงินลงทุนของคุณไปต่อยอดธุรกิจได้ดีแค่ไหน ดูที่ ROE ได้เลยครับ อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น หรือ ROE จะเจาะลงไปให้คุณเห็นเลยว่า นี่คือสัดส่วนกำไรที่บริษัทสร้างให้คุณต่อ 1 บาทที่คุณลงทุนไป

โดยทั่วไป อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นที่มีแนวโน้มสูงขึ้นหรือรักษาความสม่ำเสมอของผลตอบแทนในระดับสูงไว้ได้ บ่งบอกถึงความสามารถในการเติบโต และแข่งขันในตลาด รวมถึงมีความใส่ใจที่จะสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น

โดยเฉลี่ย ROE จะอยู่ที่ประมาณ 10%-15% ถ้าต่ำกว่า 10% ส่วนใหญ่หมายถึงการบริหารทรัพยากรของบริษัทไม่ดีมาก ควรเลือก 14%-15% ขึ้นไปซึ่งถือว่าดีมากแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณก็ควรวัด ROE เทียบกับบริษัทคู่แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อการวิเคราะห์ที่เที่ยงตรงแม่นยำครับ

JITTA FACTOR: RETURN TO SHAREHOLDERS
10 อันดับบริษัทที่คะแนน Jitta Factor หมวด Return to Shareholders สูงที่สุด

สำหรับใครที่ไม่มีเวลาไปดูเจาะลึกเปรียบเทียบหุ้นทีละค่าๆ เพื่อจะหาว่า ROE เป็นอย่างไร เงินปันผลเป็นอย่างไร ซื้อหุ้นคืนบ้างหรือไม่ ผู้บริหารใส่ใจนักลงทุนหรือเปล่า Jitta ก็คำนวณทุกอย่างไว้ให้แล้วใน indicator ตัวนี้ครับ
ปีที่แล้ว THANI ไต่อันดับขึ้นมาสูงถึง 1 ใน 3 แต่ราคาติดลบ 2% ในขณะที่ BEAUTY ติดอันดับ 1 ใน 10 แต่ราคาลดลงมาถึง 74% หากคุณสนใจสะสมเงินปันผลเป็นหลัก ก็อาจจะลองพิจารณาศึกษาหุ้นเหล่านี้เพิ่มเติมดู เพราะว่าราคาลดลงมาค่อนข้างมาก และยังคงให้ผลตอบแทนนักลงทุนค่อนข้างดี ซึ่งจากข้อมูลที่เรามี ทำให้เราสังเกตเห็นแพทเทิร์นว่า ปัจจัยนี้สามารถทำค่าเฉลี่ยเงินปันผลได้ดีกว่า Factors อื่นๆประมาณ 0.5% – 1%


อ่านต่อ